บทความ

ไมค์ SHURE ทำไมถึงเป็นเบอร์หนึ่งด้านไมโครโฟน จำหน่ายไมค์ SHURE ลดราคามากกว่า 50%

บทความ SHURE ทำไมถึงเป็นเบอร์หนึ่งด้านไมโครโฟน

“ไมโครโฟน SHURE คือที่สุดของคำว่าชัวร์”

           เป็นคำเกริ่นที่ดูจะไม่เกินจริงเลย สำหรับไมโครโฟนแบรนด์ดังระดับโลกแบรนด์นี้ เพราะผลิตภัณฑ์แต่ละอย่างของ Shure ล้วนเป็นที่ยอมรับกันในระดับโลกแทบทั้งสิ้น ยืนหยัดอยู่กับวงการ Pro Audio มาอย่างยาวนาน ในวงการบันทึกเสียง ถ้าเรามีโอกาสเข้าไปใช้บริการห้องบันทึกที่ไหนสักที่เราจะมองไปเจอไมโครโฟน Shure อย่างน้อยต้องมี 2-3 ตัวขึ้น ในงานคอนเสิร์ตหรือเฟสติวัลต่าง ๆ เมื่อมองขึ้นไปบนเวทีการแสดง   ก็ต้องมีไมโครโฟนของ Shure อยู่บนนั้นด้วยเสมอ เราน่าจะชินตากับภาพศิลปินที่เราชื่นชอบมักจะมีไมโครโฟนคู่กายที่ใช้ประจำจนกลายเป็นภาพจำขอศิลปินคนนั้น 

            ยกตัวอย่าง เช่น Shure รุ่น 55S อันโด่งดังในช่วงทศวรรษ 1950 ไมโครโฟน ทรงเหลี่ยมๆ อันใหญ่ เอกลักษณ์คู่กันกับราชาร็อคแอนด์โรล เอลวิส เพรสลีย์ หรือจะเป็นศิลปินยุคปัจจุบันอย่าง จอห์น เมเยอร์คู่กับ Sm58 ที่เป็นเหมือนไมโครโฟนรุ่นสามัญประจำห้องซ้อมไปจนถึงงานระดับคอนเสิร์ตมาอย่างช้านาน และแม้เราจะคุ้นชินกับภาพของ Shure ในรูปแบบไมโครโฟน แต่จริงๆแล้วผลิตภัณฑ์ของ Shure ในท้องตลาดนั้นมีอยู่มากมาย ครอบคลุมการทำงานด้านเสียงทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นไมโครโฟน หัวเข็มอ่านแผ่นเสียง มิกเซอร์แบบพกพา ปรีแอมป์ไมโครโฟน หูฟัง ทั้งแบบ Headphone และ in-ear monitor  ผลิตภัณฑ์ระบบ Wireless Headphone Monitor ที่ใช้คู่กับหูฟังเพื่อเป็นมอนิเตอร์ส่วนตัว เป็นต้น บทความนี้ จะเล่าถึงความเป็นมาของ Shure รวมทั้งผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ยุคก่อตั้งมาจนถึงปัจจุบัน ติดตามไปพร้อมกันเลยนะครับ          

           Shure Incorporated เป็นบริษัทผลิตภัณฑ์เครื่องเสียงสัญชาติอเมริกัน ก่อตั้งโดย Sidney N. Shure ตั้งอยู่ที่ 19 South Wells Street ในเมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ในปี 1925 ชื่อแรกที่ใช้ คือ “The Shure Radio Company” โดยเริ่มจากเป็นผู้จัดจำหน่ายชุดอุปกรณ์วิทยุ และหลังจากเปิดได้เพียงปีเดียว ในปี 1926 Shure ได้เริ่มตีพิมพ์แค็ตตาล็อกสินค้าเป็นฉบับแรก ในปี 1928 น้องชายของ Sidney N. Shure, Samuel J. Shure ได้เข้าร่วมในบริษัท และบริษัทได้ เปลี่ยนชื่อเป็น Shure Brothers Company และย้ายสำนักงานใหม่ไปที่ 335 West Madison Street ในชิคาโก บริษัทเติบโตขึ้นจนมีการจ้างพนักงานกว่า 75 คน 

           ในปี ค.. 1929 เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกา  ตลาดสำหรับชุดวิทยุลดลงอย่างต่อเนื่องจากชุดวิทยุที่ผลิตจากโรงงานมีวางจำหน่ายอย่างแพร่หลาย บริษัท Shure Brothers จึงจำเป็นต้องลดจำนวนพนักงานลงจำนวนมาก และต่อมา Shure ก็ได้หันมาจัดจำหน่ายไมโครโฟน โดยเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าแต่เพียงผู้เดียวในสหรัฐ ของบริษัทผลิตไมโครโฟน  Ellis Electrical Laboratories อีกหนึ่งปีต่อมา Samuel J. Shure ก็ได้ลาออกจากบริษัทไป และจากนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ Shure ได้เริ่มออกแบบและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ต่างๆ ด้วยความหลากหลาย  บทความนี้จะแบ่งออกเป็นแต่ละหมวดหมู่พร้อมเกร็ดที่มาที่ไปของแต่ละผลิตภัณฑ์นะครับ

SIDNEY N. SHURE

ไมโครโฟนแบบมีสาย Wired Microphone

           Shure เริ่มนำเสนอผลิตภัณฑ์ของตนเองในปี 1932  ด้วยการเปิดตัวไมโครโฟนคาร์บอนแบบ 2 ปุ่มรุ่น 33N ซึ่งมีน้ำหนักเบาและราคาย่อมเยาว์ และอีก 1 ปีต่อมาก็เปิดตัว Model 40D ซึ่งเป็นไมโครโฟนแบบคอนเดนเซอร์ตัวแรก และเปิดตัวไมโครโฟนคริสตัลรุ่นแรกของ Shure คือ Model 70 seriesในปี 1935 โดยในปี 1936 Shure ก็ได้รับสิทธิบัตรฉบับแรกสำหรับระบบรองรับไมโครโฟนที่มีสไตล์และใช้งานได้จริงนี้ และในปี 1939 ก็ได้เปิดตัวไมโครโฟน Unidyne รุ่น 55 (ปัจจุบัน Shure ผลิตไมโครโฟนหลายรุ่นสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย รวมถึงซีรีย์ SM, Beta, KSM และ PG รวมถึงไมโครโฟนสำหรับผู้บริโภคแบบพิเศษ Microflex และ Easyflex หรือระบบการประชุมสำหรับการใช้งานที่ติดตั้งในเชิงพาณิชย์)

           หนึ่งในชุดไมโครโฟนที่โดดเด่นที่สุดของ Shure คือชุด Unidyne ซึ่งนิยมใช้ทั้งในประมุขของรัฐและนักแสดงยอดนิยมจากทศวรรษที่ 1940 จนถึงปลายศตวรรษที่ 20 รวมถึงประธานาธิบดี John F. Kennedy, Ella Fitzgerald และ Frank Sinatra หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์ประศาสตร์ที่ Martin Luther King Jr. ใช้ Unidyne55 กล่าวสุนทรพจน์ “I Have a Dream” ในวันที่ 28 สิงหาคม 1963 ที่กรุงวอชิงตัน

           ไมโครโฟน Shure 55 Unidyne แต่เดิมถูกออกแบบให้เป็นไมโครโฟนสำหรับพูด ด้วยความที่ทนทานให้เสียงที่ดี โดดเด่นด้วยการออกแบบรับเสียงแบบทิศทางเดียว ทำให้มีขนาดเล็กกว่า ตอบสนองการพูดได้ดีกว่าและไวต่อเสียงรบกวนรอบข้างน้อยกว่าไมโครโฟนรุ่นอื่นๆ ในสมัยนั้น Unidyne รุ่นที่คนรู้จักมากที่สุดคือ”Baby Unidyne”  55S บางครั้งเรียกว่า “ไมโครโฟนเอลวิส” เนื่องจากเอลวิส เพรสลีย์ใช้รุ่นนี้บ่อย ไมโครโฟน Unidyne Model 55 ได้รับการเสนอชื่อเข้าในหอเกียรติยศ TECnology ในปี 2008 และไมโครโฟนซีรีส์ 55 ยังได้รับรางวัลอีกครั้งในรางวัล “IEEE Milestone” ในปี 2014 อีกด้วย

SHURE 55S ไมค์คู่กาย ราชาร๊อคแอนโรล

           ในปี 1942 Shure กลายเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ของไมโครโฟนและหูฟังให้กับกองกำลังพันธมิตร ไมโครโฟน T-17B กลายเป็นไมโครโฟนที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุดโดยกองทัพบก กองทัพเรือและกองทัพอากาศของสหรัฐ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 Shure ได้ออกแบบไมโครโฟนแบบคล้องคอ T-30 สำหรับลูกเรือ  สายรัดผ้าจะจับ T-30 ไว้ที่คอ จับเสียงจากการสั่นสะเทือนของกล่องเสียงของผู้ใช้โดยตรงทำให้หมดปัญหาเรื่องเสียงรบกวนของเครื่องบิน Shure ยังผลิตชุดหูฟังพิเศษ  HS-33 และ HS-38, ไมโครโฟน M-C1 สำหรับหน้ากากออกซิเจน, ไมโครโฟนรุ่น 100 Carbon และไมโครโฟนประกาศการต่อสู้ ผลิตขึ้นเพื่อกองทัพ 

           การใช้ T-30Vs ทำให้ลูกเรือทิ้งระเบิดสามารถสื่อสารผ่านระดับเสียงที่รุนแรงภายในเครื่องบินได้ ตัวอย่างหนึ่งของการใช้ไมโครโฟน Shure ในเหตุการณ์สำคัญคือ การที่ฐานทัพสหรัฐใช้ไมโครโฟน Shure 700A เพื่อประกาศการเห็นเครื่องบินญี่ปุ่นที่กำลังเข้าใกล้ Pearl Harbor ในเช้าวันที่ 7 ธันวาคม 1941 นั่นเอง

SHURE T-30
ติดไมค์ T-30 ที่คอเพื่อจับเสียงผู้ใช้โดยตรง

           Shure เปิดตัว SM57 ในปี 1965 และ SM58 ในปี 1966 ไมโครโฟนซีรีส์ SM (Studio Microphone) เดิมได้รับการพัฒนาให้มีพื้นผิวที่ไม่สะท้อนแสงและไม่มีสวิตช์เปิด-ปิด SM57 เป็นที่รู้จักกันดีในด้านความทนทานและคุณลักษณะด้านเสียงที่หลากหลาย SM Series ออกแบบโดย Ernie Seeler(เออนี่ ซีเลอร์)  แม้จะผลิตตั้งแต่ปี 1965 แต่ก็ยังคงผลิตอยู่ในปัจจุบัน นิยมใช้ทั้งกับเสียงร้อง เสียงกลอง และแอมป์กีตาร์ ทั้งในการแสดงดนตรีสดและการบันทึกเสียง ซึ่งรวมถึงการใช้กล่าวสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาทุกคนตั้งแต่ ลินคอน, เบนส์ จอห์นสัน   

             ไมโครโฟน SM57 ถูกแต่งตั้งชื่อเข้าหอเกียรติยศ TECNOLOGY ในปี 2004    ยอดจำหน่าย Shure SM57 และ SM58 เมื่อรวมกันนับว่าเป็นไมโครโฟนที่ขายดีที่สุดในโลกตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 โดยในปัจจุบัน Shure ได้ขยายตระกูล SM ออกมากมาย บางรุ่นเลิกผลิตและกลายเป็นของสะสมหายากในปัจจุบัน เช่น SM53 & SM54 ซึ่งเป็นไมโครโฟนที่มีเอฟเฟกต์ระยะใกล้ (สารภาพตรงๆว่าผู้เขียนเองก็ไม่เคยสัมผัส), SM45, SM48, SM56, SM57, SM58, SM85, SM86, SM87A, SM94 

            โดยเฉพาะ Shure SM81ที่เปิดตัวในปี 1968 ได้กลายเป็นไมโครโฟนคอนเดนเซอร์ตัวแรกที่รวมเสียงคุณภาพระดับสตูดิโอบวกกับความทนทานที่จำเป็นสำหรับการแสดงสดที่นิยมมาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ดนตรีที่สำคัญของ SM Series คือ  Shure SM545 ถูกใช้ในงาน Woodstock Music and Art Fair ที่นิวยอร์ก ปี 1969

SHURE SM58 และ SM57

           Shure เปิดตัวไมโครโฟนรุ่น Beta(เบต้า) ในปี1989 โดยมีการออกแบบให้มีการรับเสียงแบบซุปเปอร์คาดิออยด์ ชุดนี้ยังรวมไมโครโฟนใหม่สองตัวสำหรับกลอง คือ Beta56 และ Beta52 ซึ่งอัปเดตเป็นรุ่น Beta52A  สำหรับ Beta58A นั้นได้รับรางวัล TEC ในปี 1996 และไมโครโฟนรุ่น Beta อีกหลายชุดได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล TEC ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

BETA 57A & 58A
KSM32 หนึ่งในซีรีส์ KSM

           Shure ได้เปิดตัวไมโครโฟนชุดหูฟังสำหรับใช้บนเวที ในปี 1991 ใช้ครั้งแรกบนเวทีคือรายการพิเศษทางโทรทัศน์ Medusa: Dare to be Truthful ในบรรดาไมโครโฟนของชุดหูฟังที่ Shure ผลิตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้แก่ WH20, WH30, WCM16 (เปิดตัวในปี 1993), Beta53 และ Beta54 ไมโครโฟนชุดหูฟังรุ่นล่าสุดของ Shure MX153 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของซีรี่ส์ Microflex เปิดตัวในปี 2012

           KSM Series ไมโครโฟนบันทึกเสียงระดับพรีเมียม ได้ถูกเปิดตัวในปี 1999 ซึ่ง KSM32 หนึ่งในซีรีส์ KSM มีพรีแอมป์แบบไม่ใช้หม้อแปลงแบบแยก Class A สิบปีต่อมาในปี 2009 Shure ได้ซื้อไมโครโฟนของ Crowley และ Tripp Ribbon จาก Soundwave Research Laboratories ของ Ashland รัฐแมสซาชูเซตส์ พร้อมกับวัสดุริบบ้อน “Roswellite” ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท และShure ใช้ไมโครโฟนแบบริบบ้อนทั้งสอง ซึ่งได้รีแบรนด์เป็น KSM353 และ KSM313 ลงในซีรีส์ KSM

           ในส่วนของไมค์ออกอากาศนั้น Shure เปิดตัวไมโครโฟน SM5 ในปี 1966 ซึ่งมีไว้สำหรับการออกอากาศรายการโทรทัศน์ ในปี 1973 SM5 ได้รับการปรับปรุงและย่อขนาดให้กลายเป็น SM7 และได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้ประกาศทางโทรทัศน์และวิทยุ บางครั้งก็ใช้ในสตูดิโอบันทึกเสียงเมื่อมีการบันทึกเสียงดนตรี ทั้ง SM5 และ SM7 สร้างขึ้นจากองค์ประกอบ Unidyne III ประเภท SM57 เป็นทรานสดิวเซอร์หลัก ซึ่งปรับแต่งมาเพื่อการตอบสนองความถี่ต่ำ Bruce Swedien วิศวกรและโปรดิวเซอร์ใช้ SM7 เพื่อบันทึกเสียงร้องของ Michael Jackson สำหรับ Thriller ในปี 1999 

            ต่อมพัฒนาเป็นรุ่น SM7A ที่เสริมเกราะป้องกันการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า และในปี 2001 รุ่น SM7B ได้เพิ่มกระจกบังลมขนาดใหญ่ขึ้น และในปี 2001-2003 SM7 ถูกใช้เพื่อบันทึกนักร้องเฮฟวีเมทัล James Hetfield สำหรับอัลบั้ม Metallica St. Anger ต่อมา SM7B ได้รับการออกแบบใหม่อย่างสิ้นเชิงในปี 2020 โดยลดขนาดลงและมีวงจรเสียงดิจิตอลแบบแอคทีฟกลายเป็นรุ่น MV7 ด้วยการเชื่อมต่อทั้ง XLR และ USB MV7 คว้าส่วนแบ่งตลาดพอดแคสต์อย่างรวดเร็ว และได้รับการเสนอชื่อให้เป็นไมโครโฟนพอดคาสต์ที่ดีที่สุดโดยนิตยสารโรลลิงสโตนในปี 2021

SHURE MV7

ตลับหัวเข็มเครื่องเล่นแผ่นเสียง Phpnograph cartridges

           Shure เริ่มจำหน่ายโฟโนคาร์ทริดจ์หรือหัวเข็มเครื่องเล่นแผ่นเสียงให้กับผู้ผลิตหลายรายในปี 1933 และในช่วงกลางทศวรรษ 1940 Shure เป็นผู้จัดจำหน่ายที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา โดยจำหน่ายให้กับแบรนด์ต่างๆเช่น Philco, RCA, Emerson, Magnavox, Admiral และ Motorola จุดสูงสุดของการผลิตของ Shure คือต้องผลิตคาร์ทริดจ์มากกว่า 28,000 ชิ้นต่อวัน ต่อมาโรงงานผลิตของ Shure ที่ Phoenix ก็ปิดตัวลงในช่วงปลายทศวรรษ 1980 เนื่องจากความต้องการที่ลดลง

           Shure ได้รับการยกย่องจากหลายอุตสาหกรรมรายแรก ในปี ค.ศ. 1948 บริษัทได้เปิดตัว 900MG ซึ่งเป็น คาร์ทริดจ์ เครื่องแรกที่สามารถเล่นได้ทั้งแบบเล่นนานและ 78 รอบต่อนาที และในปี 1954 ชุดโทนอาร์มและตลับโทนเนอร์ M12 Dynetic Phono Reproducer ของ Shure ได้สร้างมาตรฐานอุตสาหกรรมด้วยการมีแรงกดแค่เพียงกรัมเดียว Shure M3D ถูกเปิดตัวในปี 1958 เป็นตลับแม่เหล็กเคลื่อนที่แบบเสตอริโอตัวแรกที่มีการแยกเสียงสเตอริโอ 20 dB ที่ 20 kHz

           V-15 Type II (เปิดตัวในปี 1966) เป็นคาร์ทริดจ์โฟโนคาร์ทริดจ์เครื่องแรกที่ออกแบบโดยคอมพิวเตอร์ เปิดตัวในปี 1978 เป็นเครื่องแรกที่มีระบบกันสั่นสะเทือน  ทำงานด้วยปล่อยไฟฟ้าสถิตออกจากร่องและทำให้ คาร์ทริดจ์มีเสถียรภาพสำหรับการเล่นบันทึกเสียงแม้จะบิดเบี้ยว กลายเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมอยากมาก แต่เนื่องจากวัตถุดิบที่จำเป็นในการผลิตตลับ V-15 ขาดแคลน Shure จึงยุติการผลิตซีรีส์นี้ในปี 2004 และเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2018 Shure ได้ประกาศต่อสาธารณชนว่าพวกเขาจะหยุดการผลิตผลิตภัณฑ์นี้ ทั้งหมด โดยมีผลในฤดูร้อนปี 2018

ระบบขยายเสียงเสียง sound reinforcement systems

           Shure ได้เปิดตัวระบบขยายเสียง Vocal Master ที่งาน NAMM Show ในช่วงฤดูหนาวปี 1968 ระบบ Vocal Master ประกอบด้วยชุดควบคุมคอนโซล ลำโพง เครื่องขยายเสียง มิกเซอร์ และไมโครโฟน สามารถรวมส่วนประกอบและระบบต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อขยายระบบ Vocal Master ไปสู่ระบบขยายเสียงที่ใหญ่ขึ้น มีช่วงหนึ่งที่ Vocal Master เคยเป็นระบบเสียงออนทัวร์อย่างเป็นทางการสำหรับการแสดงต่างๆ เช่น วง 5th Dimension และ The Carpenters เป็นต้น Vocal Master ยังถูกใช้สำหรับการติดตั้งระบบเสียงในสถาบันการศึกษาและโบสถ์ เช่นเดียวกับที่ Rainbow Room ของ Rockefeller Center ซึ่งถูกใช้สำหรับการแสดงโดยศิลปินเช่น Benny Goodman และ Duke Ellington และที่ London Palladium

VOCAL MASTER
V-15 TYPE II

มิกเซอร์และ DSP (Mixer and Digital Signal Processing)

           ในปี 1966 Shure ได้เปิดตัว M68 ซึ่งเป็นไมโครโฟนแบบพกพาที่ใช้พลังงานจากแบ็ตเตอรี่พร้อมกับอุปกรณ์เสริมที่มีให้ เช่น กระเป๋าพกพาและแหล่งจ่ายไฟแบตเตอรี่ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ เพื่อตอบสนองความต้องการของนักข่าวที่ออกอากาศ และผู้บันทึกภาคสนาม และพัฒนาเป็น Shure M67 โดยเพิ่มมิเตอร์ VU ที่ส่องสว่าง และมีเอาท์พุทสำหรับการเชื่อมต่อมิกเซอร์กับสายโทรศัพท์ เหตุการณ์ที่สำคัญคือ ในเดือนสิงหาคม ปี 1969 Eddie Kramer ได้บันทึกเสียงเทศกาล Woodstock Festival 4 วันโดยใช้ไมโครโฟนมิกเซอร์ Shure M67 สามเครื่อง ในภายหลัง Shure จึงได้พัฒนารุ่นอื่นๆ ตามมา เช่น M267 และ268

SHURE M267 และ M268

           Shure เปิดตัวไมโครโฟนมิกเซอร์ FP31 ในปี 1983  ซึ่งมีขนาดเล็กและเบากว่าผลิตภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกันในสมัยนั้นซึ่งเล็กพอที่จะถือไว้ในฝ่ามือและมีน้ำหนักเพียง 2.2 ปอนด์ ซึ่งสามารถใช้ได้ร่วมกับกล้องวิดีโอ Sony Betacamได้ จึงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางจากทีมงานถ่ายทอดวีดีโอระยะไกล FP31 สามารถทำงานได้ยาวนานถึงแปดชั่วโมงกับแบตเตอรี่ขนาด 9 โวลต์มาตรฐาน 2 ก้อน และมีเอาต์พุตไมโครโฟน/สายแยก 2 ช่อง สำหรับการถ่ายวิดีโอด้วยกล้องสองตัว ส่วนหลักมีตัวจำกัดเกนที่ปรับได้ และมีสวิตซ์ไมโครโฟน/สายแยก พร้อมฟิลเตอร์โลว์คัทในแต่ละช่องสัญญาณ เพียงหนึ่งปีต่อมาหลังจากที่เปิดตัว FP31 ถูกใช้โดยสำนักข่าว ABC, CBS, NBC, Turner Broadcasting System และต่อมาก็พัฒนาเป็นรุ่น Shure FP33

           นอกจากนี้ Shure ยังได้แนะนำผลิตภัณฑ์พกพาอื่นๆ ทีมีประโยชน์ในการออกอากาสระยะไกลและการบันทึกภาคสนาม เช่น ไมค์ปรีแอมป์ FP11 Microphone-To-Line Level, ปรีแอมป์ FP12 Headphone Bridging และปรีแอมป์สำหรับหูฟัง FP22 ในปี 1991 Shure ได้เปิดตัวออโต้เมติกมิกเซอร์ FP410 ที่มีวงจร IntelliMix ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรของ Shure ซึ่งจะเปิดใช้งานไมโครโฟนสองตัวโดยอัตโนมัติตามทิศทางของสัญญาณของผู้พูด ในปีเดียวกันนั้น FP410 ได้รับการยอมรับด้วยรางวัล Technical Achievement Award จาก International Television Association  ในภายหลัง Shure ได้เปิดตัว SCM810 ซึ่งเป็น 8 แชลแนล, มิกเซอร์ไมโครโฟนอัตโนมัติ ที่มีวงจร Shure IntelliMix และในปี 1996 Shure นำเสนอผลิตภัณฑ์ประมวลผลผลสัญญาณดิจิทัล (DSP) ตัวแรก นั่นคือ DFR11EQ Digital Feedback Reducer

การประชุม Conference

           Shure เปิดตัวระบบ AMS ในปี 1983 ซึ่งเป็นหนึ่งในระบบมิกเซอร์อัตโนมัติคุณภาพสูงระบบแรกที่ใช้สำหรับการติดตั้งที่ใช้ไมโครโฟนหลายตัว ในปี 1987 Shure ได้ติดตั้ง Shure SCM810 Automatic Mixer ที่ อาคารรัฐสภาสหรัฐ  United States Capitol  และต่อมาในปี 2008 Shure ได้เปิดตัวไมโครโฟน Microflex ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการใช้งานในห้องประชุม

Shure SCM810 Automatic Mixer

ระบบไมโครโฟนไร้สาย Wireless microphone systems

BLX WIRELESS SYSTEMS

         Shure ผลิตระบบไมโครโฟนไร้สายหลายรุ่น โดยส่วนใหญ่ใช้แคปซูน(หัวไมค์)จากไมโครโฟนแบบ มีสายรุ่นต่างๆ เช่น SM58, SM87, Beta 58 และ Beta87A ระบบมีขอบเขตตั้งแต่ระบบระดับเริ่มต้นไปจนถึงระบบระดับไฮเอนด์ที่ใช้สำหรับการท่องเที่ยวและงานกิจกรรมขนาดใหญ่

         ในช่วงต้นทศวรรษ 1950 Shure ได้เปิดตัวระบบไมโครโฟนไร้สาย Vagabond 88 การทำงานภายในวงกลม ลวดทองแดงไม่ว่าจะห้อยลงมาจากเพดานหรือวางบนพื้น ระบบสามารถส่งผ่านได้ภายในพื้นที่ประมาณ 700 ตารางฟุต ระบบประกอบด้วยเครื่องส่งและไมโครโฟนวิทยุ FM ความถี่ต่ำ ใช้หลอดสุญญากาศขนาดเล็ก 5 หลอด และใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เครื่องช่วยฟังสองก้อน ถึงแม้ ระบบ Vagabond จะมีราคาแพงและค่อนข้างเปราะบาง แต่ถูกนำมาใช้โดยสถานที่หลายแห่งในลาสเวกัสในขณะนั้น จนกระทั่งปี 1990 Shure กลับเข้าสู่ตลาดไมโครโฟนไร้สายอีกครั้งด้วยการเปิดตัว L Series และเปิดตัว T- Series ในปี 1994  ซึ่งเป็นซีรีย์ไมโครโฟนไร้สายชุดแรกของ Shure สำหรับตลาดร้านค้าปลีกเพลง

         ระบบ UHF ของ Shure มีการควบคุมซอฟต์แวร์และความสามารถในการทำงานได้ถึง 78 ระบบพร้อมกัน ในซีรีส์ ULX (เปิดตัวในปี 2002) สามารถสแกนหาช่องสัญญาณไร้สายที่ชัดเจน คุณภาพเสียงที่เทียบเท่ารุ่นมีสาย ราคาไม่แพง และความสามารถในการทำงาน 40 ระบบพร้อมกัน  ระบบ ULX ได้รับรางวัล TEC Award ในปี 2002 และต่อมาในปี 2005 Shure ได้เปิดตัวระบบไมโครโฟนไร้สายรุ่น SLX นำเสนอ “companding อ้างอิงเสียง” ที่ได้รับการจดสิทธิบัตร เป็นโปรโตคอลการจำลองเสียงต่ำให้ได้ยินมากขึ้นโดยการ “การเปรียบเทียบเสียงอ้างอิง” ซึ่งช่วยให้ระบบไร้สายมีเสียงเหมือนไมโครโฟนแบบมีสายมากขึ้น

          เนื่องจากเสียงที่ชัดกว่า ระดับเสียงที่ต่ำกว่า และช่วงไดนามิกที่มากขึ้น ในปี 2005  ซีรีส์ SLX ได้รับรางวัล TEC Award ในปีต่อมา ซีรีส์ UHF-R ได้เปิดตัวพร้อมกับการอ้างอิงเสียงเป็นคุณสมบัติหลักและซอฟต์แวร์ สำหรับการประสานงานของคอมพิวเตอร์และการควบคุมการเลือกความถี่ การตั้งค่าแบบกำหนดเอง และการซิงโครไนซ์ส่วนประกอบหลายระบบ ซีรีส์ UHF-R ได้รับรางวัล TEC ในปี 2002

        ในปี 2011 พวกเขาได้เปิดตัวระบบดิจิตอลไร้สายระบบแรกของพวกเขา นั่นคือ PGX ดิจิตอลซีรีส์ ระบบไร้สายดิจิตอล PGX ส่งสัญญาณเสียงดิจิตอล 24 บิต/48 kHz และใช้คลื่นความถี่ 900 MHz และสามารถทำงานกับระบบได้สูงสุดห้าระบบพร้อมกัน เช่นเดียวกับระบบไร้สายของ Shure ทุกรุ่น สามารถใช้ได้กับไมโครโฟน Shure ยอดนิยมหลายรุ่น หรือในรูปแบบชุดบอดี้แพ็คสำหรับใช้กับไมโครโฟน แบบหนีบเสื้อหรือชุดหูฟัง หรือเชื่อมต่อกับสายอุปกรณ์

         ในปี 2011 Shure ได้เปิดตัว Axient ซึ่งเป็นเครือข่ายการจัดการไร้สาย ซึ่งรวมถึงฟีเจอร์หลักสำหรับตรวจจับสัญญาณรบกวนและสามารถเปลี่ยนความถี่ได้โดยอัตโนมัติ และการใช้แบตเตอรี่ Li-ion  แบบรีชาร์จได้เพื่อลดการใช้แบตเตอรี่ AA และ AAA ธรรมดา และ Shure ยังเปิดตัวซอฟต์แวร์ “Wireless Workbench” ร่วมกับ Axient ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันเดสก์ท็อปสำหรับ Mac และ Windows ที่ออกแบบมาเพื่อตรวจสอบและควบคุมระบบไร้สายของ Shure บนเครือข่าย ตลอดจนจัดเตรียมเครื่องมือในการประสานงานและปรับใช้ความถี่ที่เข้ากันได้ ในเดือนมกราคม 2012  Axient ถูกใช้ในสถานที่และกิจกรรมต่างๆ เช่น โอลิมปิกฤดูร้อน 2012 และพิธีเปิดและปิดพาราลิมปิกในลอนดอน ในปี 2013 Shure ได้เปิดตัวระบบไร้สาย BLX ที่ให้เสียงที่คมชัด 24 บิตและการใช้คลื่นความถี่ RF อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อแทนที่ระบบไร้สาย Performance Gear และ PGX และระบบไร้สาย GLX-D ซึ่งทำงานในย่านความถี่ 2.4 GHz

Axient Wireless systems

ระบบมอนิเตอร์ส่วนบุคคล Personal monitor

hure PSM 300 หนึ่งในซีรีส์ PSM

         Shure เข้าสู่ตลาดมนิเตอร์ส่วนตัวในปี 1997 ด้วยการเปิดตัว PSM 600 ระบบมอนิเตอร์แบบใส่ในหูนักแสดงหรือผู้พูด โดยปกติแล้วผู้พูดหรือนักแสดงจะได้ยินเสียงโดยการฟังจากลำโพงมอนิเตอร์ที่วางอยู่บนเวทีเท่านั้น ระบบ  Personal monitor หรือมอนิเตอร์ส่วนตัวจะช่วยให้เพิ่มหรือลดเสียงได้ตามที่ผู้ใช้งานต้องการ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเสียง Feedback

         ในปี 2000 ระบบPersonal monitor ของ Shure PSM 400 ได้รับรางวัล TEC Shure และในปี   2011 Shure เปิดตัวระบบไร้สายดิจิตอลทั้งหมดระบบแรก PGX-D และ PSM®1000 Personal Monitor System และปี 2015 Shure ก็เปิดตัวแอมพลิฟายเออร์การฟังแบบพกพา SHA900 อีกด้วย

หูฟังแบบอินเอีย Earphones

         Shure มีหูฟังสไตล์มอนิเตอร์แบบอินเอียร์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพ็คเกจมอนิเตอร์ภาพส่วนบุคคลหรือซื้อแยกต่างหาก เนื่องจากหูฟังเหล่านี้เหมาะสำหรับการฟังเพลงบนอุปกรณ์เสียงแบบพกพา เช่น เครื่องเล่น MP3 ปี 2015 Shure เปิดตัวหูฟัง KSE1500 ซึ่งเป็นระบบ Electrostatic ที่ตอบสนองความถี่ได้อย่างเที่ยงตรง 

Shure KSE 300

ต่อมาในปี 2018 ก็เปิดตัว KSE 1200 ที่มีระบบเหมือนรุ่น 1500 แต่ตัดฟังชั่น DSP ออก ทำให้มีขนาดเล็กลง และในปี 2020 Shure เปิดตัวหูฟังตัดเสียงรบกวน AONIC และหูฟัง True Wireless แบบอินเอีย

หูฟังแบบครอบศีรษะ Headphones

AONIC 50 Wireless Microphone

        Shure เริ่มนำเสนอหูฟังแบบครอบหูในเดือนพฤษภาคม 2009 และตั้งแต่นั้นมาก็ขยายไลน์ผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการด้านการฟังที่แตกต่างกัน ตั้งแต่การฟังขั้นพื้นฐานไปจนถึงการฟังแบบออดิโอไฟล์

        ในเดือนตุลาคม 2014 Shure ได้เริ่มนำเสนอหูฟังแบบใส่ในหูแบบพกพาในรูปแบบกึ่งเปิดและปิดด้านหลัง รุ่นปิดด้านหลังสามารถเลือกได้ด้วยไมโครโฟนแบบอินไลน์และรีโมตเพื่อควบคุมอุปกรณ์ iOS โดยสร้างข้อเสนอในแต่ละกลุ่มของรุ่น “พกพา”, “สตูดิโอ/มืออาชีพ” และ “พรีเมียม/ออดิโอไฟล์”  และในปี 2020 Shure เปิดตัวหูฟังตัดเสียงรบกวน AONIC และหูฟัง True Wireless แบบครอบศีรษะ

Shure ในทศวรรษที่ 1980-ปัจจุบัน

         ปี 1995 Sidney N. Shure เสียชีวิตเมื่ออายุ 93 ปี  Rose L. Shure ได้รับเลือกเป็นประธานคณะกรรมการบริษัทใน 1996 Shure Brothers Incorporated เปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการเป็น Shure Incorporated ในปี 1999 และ Santo (Sandy) LaMantia รองประธานฝ่ายวิศวกรรม ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานและซีอีโอบริษัทRose Shure เสียชีวิตในปี 2016 ตอนอายุ 95

         ในปี 2001 Shure ได้ซื้อ Popper Stopper ของสตูดิโอป๊อปฟิลเตอร์จาก Middle Atlantic Products Inc. ในปี 2002 Shure ได้จัดตั้งโครงการ Shure Bid for Hearing และในปี 2003 Shure ย้ายไปที่สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ในไนล์ รัฐอิลลินอยส์ ในอาคารที่ออกแบบโดยสถาปนิก Helmut Jahn ซึ่งแต่เดิม เป็นสำนักงานใหญ่ของ HA•LO Industries 65,000-square-foot (6,000 m2) Technology Annex ออกแบบโดย Krueck และ Sexton Architects  เปิดในปี 2005 เป็นที่ตั้งของ Shure’s Performance Listening Center  ในปี 2008 Shure ได้ฉลองการเปิด The S.N. โรงละคร Shure และ Interactive Display ที่สำนักงานใหญ่ของบริษัท ในปี 2016 แซนดี้ ลามันเทีย  ประกาศเกษียณอายุ และคริสติน ไชวินค์ รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นประธานและซีอีโอ

         ในเดือนตุลาคม 2020 Shure เข้าซื้อกิจการ Midas Technology, Inc. หรือที่รู้จักในชื่อ Stem Audio ซึ่งเชี่ยวชาญด้านไมโครโฟนตั้งโต๊ะ ติดเพดาน และติดผนัง รวมถึงลำโพง  คอนโทรลอินเทอร์เฟซ และทั้งหมดนี้ก็คือความเป็นมาและภาพรวมของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของ Shure จากอดีตจนถึงปัจจุบัน

         เราจะเห็นได้ว่า ผลิตภัณฑ์ของ Shure ล้วนแต่ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพ หลายผลิตภัณฑ์ออกแบบและผลิตมาตั้งแต่ยุคแรกของบริษัทแต่ก็ยังตอบโจทย์การใช้งานในปัจจุบันได้โดยไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงด้วยซ้ำ และบางผลิตภัณฑ์ก็ถูกปรับเปลี่ยนให้เข้ากับการทำงานที่เปลี่ยนไป และด้วยความหลากหลายนี้เอง Shure จึงเป็นแบรนด์ที่ชัวร์ในใจของใครหลายคน สมกับชื่อ Shure อย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ตอนต้นบทความจริงๆ ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ

สรุป :

ก็ถือว่าเป็นอีกแบรนด์ที่มีการพัฒนาคุณภาพอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในส่วนของ DIS ในสายการผลิตปัจจุบันก็ได้มีทั้ง ชุดไมโครโฟนสำหรับประชุม ชุดอุปกรณ์แปลภาษา ชุดอุปกรณ์กระจายเสียงสำหรับการแปลภาษา และอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นอยู่ตลอดเวลา นั่นเองครับ

ดูสินค้าไมโครโฟน Shure ทุกรุ่น

สอบถาม เกี่ยวกับสินค้าและการออกแบบติดตั้ง สามารถสอบถามได้ที่

    โทรศัพท์ 02-550-6340, 064-198-2499

    Line : @liveforsound

    Email : [email protected]

บทความโดย: อาทิตย์ พรหมทองมี

ทีมงาน LIVE FOR SOUND เราพร้อมให้คำปรึกษาทุกด้าน พร้อมรับตรวจเช็ค แก้ไขปัญหาระบบเสียงทุกรูปแบบ โดยทีมงานมืออาชีพ ที่มีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี

บทความอ้างอิง

สอบถามข้อมูลได้ทาง

author-avatar

About อาทิตย์ พรหมทองมี

ผู้ที่หลงไหลในระบบเสียงและชื่นชอบในการศึกษาประวัติศาสตร์เครื่องเสียงแต่ละแบรนด์