ระดับเสียง (Loudness)

ระดับเสียง (Loudness)

เสียงไม่ใช่แค่ “ดังแค่ไหน” แต่คือ “เรารู้สึกยังไงกับมัน”

เสียงดังไปไหม? หรือเราแค่รู้สึกว่ามันดัง?

ในงานระบบเสียงมีคำถามหนึ่งที่เจอบ่อยที่สุด คือ “มันดังพอไหม?” หรือบางทีคนฟังก็จะบอกว่า “เสียงมันดังไป!”

ปัญหาคือระดับเสียงที่ “เครื่องมือวัด” กับ “หูคนฟัง” บางครั้งไม่ตรงกัน เสียงที่วัดได้ 85 dB อาจฟังดูดังเกินไปในห้องประชุม แต่ในคอนเสิร์ต 95 dB กลับรู้สึกว่ากำลังดี

นี่แหละคือสิ่งที่เราเรียกว่า “Loudness” ระดับเสียงตามที่มนุษย์รับรู้

ความหมายของ Loudness

Loudness (ระดับเสียง) คือการรับรู้ว่าเสียง “ดัง” หรือ “เบา” โดยมนุษย์ ไม่ใช่ตัวเลขล้วนๆ จากเครื่องวัด แต่คือผลลัพธ์จาก “แอมพลิจูด” + “ความถี่” + “โครงสร้างเสียง” + “สมองของเรา”

ความดังกับ dB: มิตรหรือศัตรู?

แม้ว่าเครื่องวัดจะให้เราใช้หน่วย dB SPL (Sound Pressure Level) แต่หูของมนุษย์ไม่ได้รู้สึกเสียงตามค่า dB อย่างตรงไปตรงมา

ตัวอย่าง:

  • เพิ่มเสียงจาก 60 → 70 dB = เพิ่ม 10 dB = หู “รู้สึก” ว่าดังขึ้นประมาณ 2 เท่า
  • เพิ่มอีก 10 dB → 80 dB = หูเริ่ม “อึดอัด” ขึ้นชัดเจน

เสียงบางเสียงแม้จะวัดได้แค่ 70 dB แต่ถ้ามีความถี่สูงหรือคมมาก เช่น เสียงกี๊ง ฉาบ หรือเสียงแหลมจากลำโพง หูเราจะรับรู้ว่ามัน “ดัง” มากกว่าความเป็นจริง

ระบบประสาทกับความดัง

Loudness ไม่ใช่เรื่องของ “หูอย่างเดียว” แต่มันผ่านกระบวนการตีความของ “สมอง”

  • เสียงแหลม → กระตุ้นประสาทแรง
  • เสียงต่ำ → ต้องมีแอมพลิจูดสูงถึงจะรู้สึกเท่ากัน
  • เสียงไม่ต่อเนื่อง → ฟังดูน่ารำคาญกว่าเสียงดังคงที่

นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “Psychoacoustics” วิทยาศาสตร์ของการได้ยิน

Fletcher-Munson Curve: มาตรฐานเสียงของมนุษย์

ในปี 1933 นักวิทยาศาสตร์ 2 คนชื่อ Fletcher กับ Munson ได้สร้างแผนภูมิแสดงว่า “ที่ความดังเท่ากัน หูเรารับรู้เสียงในแต่ละความถี่ต่างกันแค่ไหน” เรียกว่า Equal-Loudness Contours

ภาพรวมคือ:

  • เสียงที่ 3 kHz–4 kHz = หูมนุษย์ไวที่สุด
  • เสียงต่ำ (เช่น 50 Hz) ต้องใช้แอมพลิจูดมากขึ้นเพื่อให้รู้สึก “ดังพอๆ กัน”
  • เสียงสูงเกิน 10 kHz เริ่มลดความไว

ดังนั้นจูนเสียงแค่ “ให้เครื่องวัดเท่ากันทุกความถี่” ไม่ได้ ต้องจูน “ให้คนฟังรู้สึกว่าเสียงบาลานซ์”

ปรับเสียงให้เหมาะ: Loudness กับ Sound Engineer

ในมิกเซอร์หรือ DSP บางรุ่นจะมีฟังก์ชันชื่อว่า “Loudness Compensation” ช่วยชดเชยความดังให้เสียงทุ้ม–แหลมฟังสมดุลยิ่งขึ้น โดยเฉพาะตอนเปิดเบา

เช่น:

  • เปิดเสียงที่ 60 dB → เสริมความถี่ต่ำ–สูงเล็กน้อยอัตโนมัติ
  • เปิดที่ 100 dB → ตัดการชดเชย เพราะหูรับครบแล้ว

Sound Engineer ที่ดี จะต้อง:

  • ฟังเสียงที่หลายระดับ
  • ปรับ EQ ให้ “ฟังแล้วบาลานซ์” ไม่ใช่แค่ “กราฟสวย”
  • คำนึงว่า “ใครฟัง? ฟังที่ไหน? นานแค่ไหน?”

Loudness Meter และ LUFS

ในงาน Broadcast และ Streaming นิยมใช้หน่วยใหม่ที่เรียกว่า LUFS (Loudness Units Full Scale) เพื่อควบคุม “ความดังตามที่คนรู้สึก” ให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน

Platform

LUFS เป้าหมาย

YouTube

-14 LUFS

Spotify

-14 LUFS

Netflix

-27 LUFS

ระบบนี้ช่วยให้ “เสียงทุกคลิป” ฟังแล้วบาลานซ์ ไม่ต้องมานั่งปรับวอลลุ่มขึ้น–ลงทุกครั้งที่เปลี่ยนคลิป

ความดังที่เกินไป = อันตรายต่อสุขภาพ

องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่า:

  • ไม่ควรฟังเสียงเกิน 85 dB เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน
  • เสียงเกิน 100 dB ควรฟังไม่เกิน 15 นาที
  • เสียงที่ 120 dB = จุดที่เริ่มเจ็บหู
  • 130 dB ขึ้นไป → อาจก่อให้เกิดหูเสื่อมถาวร

Live Sound Engineer ต้องมี “ความรับผิดชอบต่อหูผู้ฟัง” ไม่ใช่แค่ทำให้มันดัง แต่ต้องทำให้มัน “ปลอดภัยและเพราะด้วย”

สรุป

Loudness คือ “ระดับเสียงตามที่เรารู้สึก” ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนเครื่องวัด มันถูกกำหนดโดย แอมพลิจูด + ความถี่ + สภาพแวดล้อม + สมองของเรา

  • เครื่องวัด SPL = วัดฟิสิกส์
  • หูคนฟัง = วัดจิตใจ + อารมณ์

ความเข้าใจ Loudness คือหัวใจของการปรับเสียงที่ “สมดุล–ฟังสบาย–ปลอดภัย”

แหล่งอ้างอิง

  • Fletcher & Munson (1933), Equal-Loudness Contours
  • David Howard & Jamie Angus, Acoustics and Psychoacoustics
  • Everest & Pohlmann, Master Handbook of Acoustics
  • Bob McCarthy, Sound Systems: Design and Optimization
  • ITU-R BS.1770: Algorithms to Measure Audio Loudness
  • WHO Guidelines on Environmental Noise
  • Sound on Sound: Understanding Loudness