เสียงคืออะไร? พื้นฐานที่ต้องรู้ก่อนคิดจะเป็น Sound Engineer

เสียงคืออะไร?

เสียง คืออะไร?

       เสียง (Sound) คือพลังงานที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของวัตถุ แล้วส่งผ่านตัวกลาง เช่น อากาศ น้ำ หรือของแข็ง ไปยังหูของเรา เสียงจะไม่เกิดขึ้นเลยหากไม่มีการสั่นสะเทือนและเสียงก็จะไม่เดินทางไปไหนได้เลย หากไม่มี ตัวกลาง ให้ส่งผ่าน

       ลองนึกถึงลำโพง เมื่อไดอะแฟรมในลำโพงเคลื่อนเข้า–ออก มันกำลัง “สั่น” อากาศรอบ ๆ ตัวการสั่นนี้ทำให้อากาศเกิดความหนาแน่นสลับกันเป็นระยะ ๆ และนั่นแหละ…คือเสียง

เสียงเดินทางแบบไหน?

       เสียงเป็นคลื่นแบบ Longitudinal Wave หรือเรียกอีกแบบว่า “คลื่นตามยาว”มันต่างจากคลื่นบนผิวน้ำที่เราเห็น ซึ่งเป็น “คลื่นขวาง”

คลื่นเสียงประกอบด้วย:

  • ช่วงอัด (Compression) คือช่วงที่โมเลกุลของอากาศถูกอัดแน่น
  • ช่วงขยาย (Rarefaction) คือช่วงที่โมเลกุลถูกดึงห่างออก

เสียงจึงเดินทางแบบ “ผลัก–ดึง” ผ่านโมเลกุลของตัวกลางไม่ใช่ตัวโมเลกุลเคลื่อนไป แต่เป็นพลังงานที่ “ผลักส่งต่อกัน” คล้ายโดมิโน

ความถี่ (Frequency) คืออะไร?

ความถี่

ความถี่ (Frequency) หมายถึงจำนวนครั้งที่วัตถุสั่นใน 1 วินาที หน่วยคือ Hz (เฮิร์ตซ์)

  • ยิ่งความถี่สูง → เสียงยิ่ง “แหลม”
  • ยิ่งความถี่ต่ำ → เสียงยิ่ง “ทุ้ม”

ช่วงการได้ยินของมนุษย์โดยทั่วไปอยู่ที่
20Hz – 20,000Hz (20kHz)

ยกตัวอย่างง่าย ๆ:

ความถี่

เสียงที่เราได้ยิน

20Hz

เสียงกระแทก เบสลึกมาก

500Hz

เสียงพูดโทนเสียงระดับต่ำ

2,000Hz

เสียงพูดชัดเจน

10,000Hz

เสียงแหลม เสียงใสๆ

ความดัง (Amplitude) คืออะไร?

เสียงดังหรือเบา เกิดจาก “แรง” ที่ใช้ในการสั่นสิ่งนี้เรียกว่า แอมพลิจูด (Amplitude)

  • ยิ่งแรงสั่นมาก → คลื่นเสียง “สูง” → เสียงดัง
  • ยิ่งแรงสั่นน้อย → คลื่นเสียง “เตี้ย” → เสียงเบา

เราวัดความดังเสียงเป็นหน่วย dB SPL (Decibel Sound Pressure Level)
เช่น:

  • 30dB = เสียงกระซิบ
  • 85dB = เสียงดนตรีที่ฟังในบ้านทั่วไป
  • 120dB = ระดับเริ่มอันตราย

เสียงเดินทางได้เฉพาะเมื่อมี “ตัวกลาง” เท่านั้น

       เสียงไม่สามารถเดินทางใน “สูญญากาศ” ได้ เพราะเสียงต้องมีโมเลกุลมารับแรงสั่น เช่น อากาศ น้ำ หรือโลหะ
ในอวกาศจึง “เงียบ” แม้ว่าจะมีการระเบิด — เพราะไม่มีอากาศ

ตัวกลางที่เสียงใช้สำหรับเดินทาง

      เสียงจะเดินทางไม่ได้เลย…ถ้าไม่มีสิ่งนี้ เสียง (Sound) ไม่ใช่สิ่งที่ล่องลอยอยู่ในอากาศอย่างลึกลับมันคือ “พลังงานจากการสั่นสะเทือน” ที่ต้องอาศัย “ตัวกลาง” เพื่อเดินทางไปยังปลายทาง เช่น หูของคุณ

ตัวกลางคืออะไร?

“ตัวกลาง” คือวัสดุที่เสียงสามารถใช้ในการส่งผ่านพลังงาน
เช่น:

  • อากาศ (Air) – ตัวกลางที่เราเจอบ่อยที่สุด
  • น้ำ (Water) – ตัวกลางที่เสียงเดินทางได้เร็วกว่าในอากาศ
  • ของแข็ง เช่น โลหะ (Solid Medium) – ตัวกลางที่เสียงเดินทางเร็วที่สุด

หากไม่มีตัวกลาง — ไม่มีเสียง

ในสุญญากาศ เช่น อวกาศ แม้จะมีการระเบิดขนาดใหญ่ ก็จะไม่มีเสียงใดเดินทางมาถึงหูเราได้เลย

พลังงานเสียงเดินทางอย่างไร?

คลื่นเสียงเป็นคลื่นตามยาว (Longitudinal Wave)
เกิดจาก “การอัด” และ “การขยาย” ตัวของโมเลกุลในตัวกลาง
เหมือนกับการชนลูกโดมิโน: ตัวแรกผลักตัวที่สอง ตัวที่สองผลักตัวที่สาม… แต่ไม่มีใครเดินทางไปจริง ๆ

  • โมเลกุล ไม่เดินทาง ไปพร้อมเสียง
  • สิ่งที่เดินทาง คือ “แรง” หรือ “พลังงาน” ที่ผลักส่งต่อกัน

เสียงในของแข็ง vs ของเหลว vs ก๊าซ

ตัวกลาง

ความเร็วเสียงโดยประมาณ

ลักษณะเสียงที่ได้ยิน

อากาศ(Air)

343 m/s

เสียงทั่วไป, เสียงพูด

น้ำ(Water)

1,480 m/s

เสียงชัดเจนแต่ทึบกว่าในอากาศ

เหล็ก(Solid)

5,960 m/s

เสียงเดินทางเร็วมาก, แน่น ชัด

เหตุผล: ในของแข็ง โมเลกุลอยู่ใกล้กัน → พลังงานถูกส่งต่อได้รวดเร็ว
แต่ความแน่นของโมเลกุลก็ส่งผลให้ “เสียงเปลี่ยนลักษณะ” ด้วย

ตัวอย่างที่ Sound Engineer ควรรู้

  • ติดไมค์ไว้ที่พื้นเวที = ได้เสียงจาก “การสั่นพื้น” เร็วกว่าจากอากาศ
  • เสียงกลองที่ไมค์จ่อกลองรับได้ = เป็นเสียงที่เดินทางผ่านไม้ก่อนมาถึงอากาศ
  • ใช้ไมค์รับเสียงพูดผ่านกระดูก (Bone Conduction) = ได้ยินแม้ไม่มีอากาศ

🔧 นี่คือเหตุผลว่าทำไม Sound Engineer ต้องเข้าใจว่าเสียง “เดินทางผ่านอะไร” ก่อนถึงหูคนฟัง

แล้วเกี่ยวอะไรกับ Phase?

เมื่อเสียงจากแหล่งเดียวกัน เดินทางมาถึงหูเราผ่าน “คนละตัวกลาง”
มันจะถึงหูไม่พร้อมกัน → เกิด Phase Shift หรือ Comb Filtering ได้
เช่น:

  • เสียงจาก Subwoofer เดินทางช้าผ่านอากาศ
  • เสียงจากโครงเวที เดินทางเร็วกว่ามาถึงไมค์

สิ่งนี้อาจทำให้ “เสียงบางย่านหายไป” ถ้าไม่ปรับ Delay หรือจัดตำแหน่งลำโพงให้เหมาะ

แล้วเราฟังเสียงได้อย่างไร?

       เมื่อคลื่นเสียงกระทบ “แก้วหู” มันจะสั่นสะเทือนส่งต่อผ่านกระดูกเล็ก ๆ 3 ชิ้น ไปยังหูชั้นใน และแปลงเป็นสัญญาณประสาท
สมองเราจะ “ตีความ” คลื่นเหล่านั้นออกมาเป็น “เสียง” ที่เรารู้จัก

เสียงที่คุณได้ยิน = ผลลัพธ์จากฟิสิกส์ + สมองของคุณเอง!

เสียงในมุมของ Sound Engineer

Sound Engineer ไม่ได้แค่ “ฟังเสียง” แต่เรามองเสียงเป็น ข้อมูลที่วิเคราะห์ได้ เสียง 1 เสียง อาจมีหลายคลื่นแฝง (Harmonics) เสียงร้องหนึ่งคน อาจมีพฤติกรรมต่างกันขึ้นอยู่กับห้อง และเสียงจากลำโพง อาจ “หายไปบางย่าน” เพราะ Phase หรือ Comb Filtering

เราใช้เครื่องมือเช่น:

  • RTA (Real Time Analyzer)
  • FFT (Fast Fourier Transform)
  • Transfer Function
    เพื่อแยกแยะว่าเสียง “พฤติกรรม” อย่างไร แล้วค่อยปรับปรุง

เสียงไม่ได้เดินตรงอย่างเดียว

เสียงไม่ได้เดินตรงอย่างเดียวเมื่อเสียงเดินทาง มันอาจจะ

  • สะท้อน (Reflection) กลับมาเป็น Echo
  • ดูดซับ (Absorption) จมหายที่ผนัง
  • กระจาย (Diffusion) เปลี่ยนทิศทาง
  • ตีกันเอง (Interference) เกิด “เสียงหาย” (Comb Filtering)

เสียง ไม่ได้เป็นแค่เสียง

       เสียงคือ พฤติกรรมของพลังงาน ที่มนุษย์มีความสามารถพิเศษในการ “แปล” ออกมาและเมื่อคุณรู้ว่าเสียงทำงานอย่างไร…
คุณจะสามารถ “ควบคุม” เสียงได้ดีกว่าใคร

สรุป :

เสียงคือพลังงานที่ซับซ้อน แต่ไม่ซ่อนเร้นหากคุณเข้าใจเสียงในมุมของฟิสิกส์–สรีระ–พฤติกรรมคุณก็พร้อมจะก้าวไปอีกขั้นในเส้นทาง Sound Engineer อย่างแท้จริง

       สนใจติดตั้งเครื่องเสียงสามารถติดต่อมาทาง Live For Sound ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านระบบเสียง มีประสบการณ์มากกว่า 15ปี 

โทรศัพท์ 02-550-6340, 064-198-2499
Line : @liveforsound
Email : sale@liveforsound.com

บทความโดย: ทรงพล แจ่มแจ้ง (SOUND ENGINEER)

สอบถามข้อมูลการติดตั้งได้ทาง