dB มีหลายแบบ! ทำไมถึงมี dBSPL, dBu, dBV, dBFS? แยกให้ชัดเจน

dB มีหลายแบบ! ทำไมถึงมี dBSPL, dBu, dBV, dBFS? แยกให้ชัดเจน

คยสงสัยไหมว่าทำไมบนมิกเซอร์เขียน “+4 dBu” แต่บน SPL meter กลับเขียน “85 dBSPL” และบนเครื่องเล่น CD เขียน “-10 dBV”? หรือเคยงงไหมว่าทำไมเวลาวัดเสียงในห้องได้ 90 dB แต่พอดูระดับสัญญาณในมิกเซอร์กลับเห็น -20 dB?

ความจริงแล้ว dB ไม่ใช่หน่วยวัดตายตัวแบบเมตรหรือกิโลกรัม แต่เป็น “หน่วยเชิงเปรียบเทียบ” ที่จะมีความหมายแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราใช้เป็นมาตรฐานอ้างอิง การเข้าใจความแตกต่างนี้เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับ Sound Engineer เพราะการใช้ dB ผิดประเภทจะส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดในการตั้งค่าระบบเสียงและการวิเคราะห์ปัญหา

ทำความเข้าใจ dB ในฐานะหน่วยเปรียบเทียบ

ก่อนที่เราจะไปดูแต่ละประเภทของ dB เราต้องเข้าใจก่อนว่า dB หรือ Decibel เป็นหน่วยวัดอัตราส่วนแบบลอการิทึม ซึ่งออกแบบมาเพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างค่าสองค่าในรูปแบบที่เข้าใจง่ายกว่าการใช้ตัวเลขธรรมดา

สูตรพื้นฐานของ dB แบ่งออกเป็นสองกรณีหลัก ๆ คือ กรณีที่เปรียบเทียบกำลัง (Power) จะใช้สูตร dB = 10 × log₁₀(P₁/P₀) และกรณีที่เปรียบเทียบแรงดัน (Voltage) หรือความดัน (Pressure) จะใช้สูตร dB = 20 × log₁₀(V₁/V₀) ความแตกต่างของสูตรนี้เกิดจากความสัมพันธ์ทางฟิสิกส์ที่ว่ากำลังมีความสัมพันธ์แบบกำลังสองกับแรงดันหรือความดัน

การที่ dB เป็นหน่วยเปรียบเทียบนี้เองที่ทำให้เราต้องมี “ค่าอ้างอิง” ที่ชัดเจน เพื่อให้ทุกคนเข้าใจในสิ่งเดียวกันเมื่อพูดถึงค่า dB ที่แน่นอน และนี่คือจุดที่ dBSPL, dBu, และ dBV เข้ามามีบทบาท เพราะแต่ละหน่วยจะมีค่าอ้างอิงที่แตกต่างกัน

dBSPL: การวัดเสียงในโลกแห่งความเป็นจริง

เมื่อเราพูดถึงการวัดเสียงที่เราได้ยินจริง ๆ ในอากาศ เราจะใช้หน่วย dBSPL ซึ่งย่อมาจาก Sound Pressure Level หน่วยนี้ถูกออกแบบมาเพื่อวัดความดันของคลื่นเสียงในอากาศ โดยมีค่าอ้างอิงที่ 20 ไมโครปาสคาล (20 µPa) ซึ่งเป็นความดันเสียงที่หูมนุษย์เริ่มสามารถรับรู้ได้

ค่าอ้างอิงนี้ไม่ได้เลือกมาโดยบังเอิญ แต่เป็นผลจากการศึกษาทางจิตฟิสิกส์เกี่ยวกับการได้ยินของมนุษย์ การที่เราใช้ 0 dBSPL เป็นจุดเริ่มต้นของการได้ยินนั้นทำให้เราสามารถสร้างมาตราส่วนที่สะท้อนการรับรู้ของหูมนุษย์ได้อย่างสมเหตุสมผล

ในชีวิตประจำวัน เราจะพบกับเสียงในระดับต่าง ๆ เช่น เสียงกระซิบในห้องเงียบประมาณ 30 dBSPL การสนทนาปกติอยู่ที่ประมาณ 60 dBSPL ส่วนเสียงในคอนเสิร์ตที่บูธมิกซ์อาจอยู่ที่ประมาณ 85 dBSPL และจุดที่หูเริ่มรู้สึกเจ็บจะอยู่ที่ประมาณ 120 dBSPL

สำหรับการทำงานเรื่องระบบเสียง dBSPL เป็นหน่วยที่สำคัญมากในการตรวจสอบผลลัพธ์สุดท้ายของระบบเสียงที่เราติดตั้ง เราใช้ dBSPL ในการวัดเสียงในห้องประชุม ห้องคอนเสิร์ต หรือสถานที่ต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าระดับเสียงเหมาะสมกับการใช้งานและไม่เป็นอันตรายต่อผู้ฟัง

dBu: ภาษาสากลของระบบเสียงมืออาชีพ

เมื่อเราก้าวเข้าสู่โลกของสัญญาณไฟฟ้าในระบบเสียง เราจะพบกับหน่วย dBu ซึ่งเป็นหน่วยที่ใช้วัดแรงดันไฟฟ้าในสายสัญญาณ หน่วยนี้มีค่าอ้างอิงที่ 0.775 โวลต์ RMS ซึ่งอาจดูเป็นเลขที่แปลก ๆ แต่ที่จริงแล้วมีที่มาที่ชัดเจน

ในอดีต ระบบเสียงมืออาชีพใช้ความต้านทาน 600 โอห์มเป็นมาตรฐาน และเมื่อมีกำลังไฟฟ้า 1 มิลลิวัตต์ไหลผ่านความต้านทาน 600 โอห์ม จะเกิดแรงดันไฟฟ้า 0.775 โวลต์ การเลือกใช้ค่านี้เป็นอ้างอิงจึงเป็นการเชื่อมโยงกับระบบเก่าที่ใช้หน่วย dBm (ซึ่งอ้างอิงกับกำลังไฟฟ้า 1 มิลลิวัตต์)

อย่างไรก็ตาม ข้อดีของ dBu คือเป็นหน่วยแรงดันที่ไม่ผูกติดกับค่าความต้านทานใด ๆ ทำให้สามารถใช้ได้กับอุปกรณ์ที่มีความต้านทานอินพุตต่าง ๆ ในระบบเสียงสมัยใหม่ ตัวอักษร “u” ใน dBu ย่อมาจาก “unloaded” ซึ่งหมายถึงการวัดแรงดันในสภาวะที่ไม่มีโหลดหรือมีโหลดที่สูงมาก

ในการใช้งานจริง เราจะพบกับระดับสัญญาณต่าง ๆ เช่น สัญญาณ Line level มาตรฐานในระบบ Pro Audio อยู่ที่ +4 dBu สัญญาณจากไมโครโฟนซึ่งเป็น low level จะอยู่ในช่วงประมาณ -40 ถึง -60 dBu และสัญญาณจากเครื่องดนตรี (instrument level) จะอยู่ที่ประมาณ -10 ถึง -20 dBu

การเข้าใจ dBu เป็นสิ่งสำคัญในการตั้งค่า gain structure ของระบบเสียง เพราะจะช่วยให้เราสามารถจัดการกับ signal-to-noise ratio และ headroom ได้อย่างเหมาะสม หากระดับสัญญาณต่ำเกินไป เราจะได้ยินเสียง noise มากขึ้น แต่หากสูงเกินไปก็จะเกิด distortion

dBV: ทางเลือกสำหรับอุปกรณ์ Consumer

หน่วย dBV เป็นอีกหนึ่งหน่วยแรงดันไฟฟ้าที่ใช้ค่าอ้างอิงที่ 1.0 โวลต์ RMS ซึ่งเป็นค่าที่เข้าใจง่ายกว่า 0.775 โวลต์ของ dBu หน่วยนี้จึงถูกนำมาใช้ในอุปกรณ์ Consumer และบางระบบ Professional ที่ต้องการความเรียบง่าย

ความสัมพันธ์ระหว่าง dBV และ dBu สามารถแปลงได้ด้วยการบวกหรือลบ 2.2 dB กล่าวคือ 0 dBV เท่ากับ +2.2 dBu และในทางกลับกัน 0 dBu เท่ากับ -2.2 dBV ความสัมพันธ์นี้เกิดจากการที่ 1.0 โวลต์และ 0.775 โวลต์มีอัตราส่วน 20 × log₁₀(1.0/0.775) = +2.2 dB

การมีอยู่ของ dBV ทำให้เกิดความซับซ้อนในบางครั้ง เพราะต้องระวังให้แน่ใจว่าเรากำลังใช้หน่วยไหนอยู่ อย่างไรก็ตาม ในระบบ Professional Audio หน่วย dBu ยังคงเป็นมาตรฐานหลัก ส่วน dBV จะพบมากในอุปกรณ์ Home Audio และ DJ equipment บางชนิด

dBFS: มาตรฐานสำหรับโลกดิจิทัล

มื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในระบบเสียง เราจำเป็นต้องมีหน่วยวัดที่เหมาะสมกับลักษณะของระบบดิจิทัล หน่วย dBFS ซึ่งย่อมาจาก “Full Scale” จึงถูกพัฒนาขึ้นมา หน่วยนี้ใช้ระดับสัญญาณสูงสุดที่ระบบดิจิทัลสามารถรับได้เป็นค่าอ้างอิง โดยกำหนดให้เป็น 0 dBFS

ลักษณะเด่นของ dBFS คือเป็นหน่วยที่มีค่าเป็นลบหรือศูนย์เท่านั้น เพราะไม่สามารถมีสัญญาณที่เกิน 0 dBFS ได้ในระบบดิจิทัล หากมีสัญญาณเกินระดับนี้ จะเกิด digital clipping ซึ่งเป็นการบิดเบือนที่ไม่พึงประสงค์และมีเสียงที่แหบแห้งมาก

ในการบันทึกและมิกซิงเสียงดิจิทัล เราจะใช้ dBFS ในการตรวจสอบระดับสัญญาณ โดยทั่วไปจะเว้น headroom ประมาณ 6-12 dBFS เพื่อหลีกเลี่ยง digital clipping กล่าวคือ หากต้องการ headroom 12 dB เราจะตั้งระดับสัญญาณเฉลี่ยไว้ที่ประมาณ -12 dBFS

ความสัมพันธ์ระหว่าง dBFS กับ dBu จะขึ้นอยู่กับ reference level ที่ตั้งไว้ในระบบ ตัวอย่างเช่น หากระบบกำหนดให้ -18 dBFS เทียบเท่ากับ +4 dBu แล้ว 0 dBFS จะเทียบเท่ากับ +22 dBu ซึ่งเป็นการให้ headroom 18 dB สำหรับสัญญาณที่อาจมีระดับสูงกว่าปกติ

LUFS: วิวัฒนาการของการวัดความดัง

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเสียงได้พัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับการรับรู้ความดังของหูมนุษย์มากขึ้น ส่งผลให้มีการพัฒนาหน่วย LUFS ซึ่งย่อมาจาก “Loudness Units relative to Full Scale” ขึ้นมา หน่วยนี้ออกแบบมาเพื่อสะท้อนการรับรู้ความดังของหูมนุษย์ได้แม่นยำกว่าการวัดระดับสัญญาณแบบเดิม

LUFS ใช้อัลกอริทึมที่ซับซ้อนในการคำนวณ โดยคำนึงถึงลักษณะการตอบสนองของหูมนุษย์ต่อความถี่ต่าง ๆ และการรับรู้ความดังที่เปลี่ยนแปลงตามเวลา อัลกอริทึมนี้จะให้น้ำหนักความสำคัญกับความถี่ช่วงกลางมากกว่าความถี่ต่ำหรือสูง เพราะหูมนุษย์มีความไวต่อความถี่ช่วงกลางมากกว่า

การใช้ LUFS มีประโยชน์อย่างมากในการควบคุมความสอดคล้องของระดับเสียงระหว่างเนื้อหาต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น สถานีโทรทัศน์และบริการสตรีมมิงหลายแห่งใช้มาตรฐาน LUFS ในการทำให้โฆษณาและรายการมีระดับความดังที่สอดคล้องกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการที่ผู้ชมต้องปรับระดับเสียงบ่อย ๆ

ในงานมิกซิงและมาสเตอริ่ง LUFS ช่วยให้ Sound Engineer สามารถประเมินและควบคุมความดังของเพลงหรือเนื้อหาเสียงให้เหมาะสมกับแพลตฟอร์มที่จะเผยแพร่ เช่น Spotify ใช้มาตรฐานประมาณ -14 LUFS สำหรับเพลง ในขณะที่โทรทัศน์อาจใช้มาตรฐานที่แตกต่างกัน

การประยุกต์ใช้ในการทำงานจริง

เมื่อเราเข้าใจความแตกต่างของหน่วย dB แต่ละประเภทแล้ว สิ่งสำคัญคือการรู้ว่าเมื่อไหร่ควรใช้หน่วยไหน ในการจูนระบบเสียงสำหรับห้องประชุม เราจะเริ่มจากการตั้งระดับสัญญาณในมิกเซอร์ให้อยู่ที่ +4 dBu แล้วจึงวัดเสียงที่ออกจากลำโพงด้วย SPL Meter เพื่อให้ได้ระดับเสียงที่เหมาะสม เช่น 85 dBSPL สำหรับการประชุม

ในระบบที่มีส่วนดิจิทัล เราจะต้องคำนึงถึง dBFS ด้วย ตัวอย่างเช่น หากเราบันทึกเสียงผ่าน Audio interface ที่ตั้งค่าให้ -18 dBFS เทียบเท่ากับ +4 dBu เราจะต้องแน่ใจว่าระดับสัญญาณที่เข้ามาไม่เกิน 0 dBFS เพื่อหลีกเลี่ยง digital clipping

สำหรับงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเนื้อหาสำหรับการเผยแพร่ เช่น พอดแคสต์ เพลง หรือวิดีโอ การใช้ LUFS จะช่วยให้เราสามารถควบคุมความดังให้เหมาะสมกับแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ การรู้ว่าแต่ละแพลตฟอร์มใช้มาตรฐาน LUFS เท่าไหร่จะช่วยให้เนื้อหาของเรามีความดังที่เหมาะสมและไม่ถูกปรับลดระดับเสียงโดยอัตโนมัติ

ในกระบวนการนี้ เราต้องคำนึงถึง headroom ด้วย ซึ่งหมายถึงช่องว่างระหว่างระดับสัญญาณที่ใช้งานปกติกับระดับสูงสุดที่ระบบรับได้ โดยทั่วไปเราจะเว้น headroom ไว้ประมาณ 6-12 dB เพื่อรองรับสัญญาณที่อาจมีระดับสูงกว่าปกติในบางช่วงเวลา

เมื่อต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์ที่ใช้ระดับสัญญาณต่างกัน เช่น มิกเซอร์ที่ส่งสัญญาณ +4 dBu เข้า Power amplifier ที่รับสัญญาณ -10 dBV เราจะต้องมีการปรับระดับสัญญาณ ซึ่งอาจทำได้ด้วยการใช้อุปกรณ์แปลงระดับ (attenuator) หรือการปรับ input gain ของ Power amplifier ให้เหมาะสม

ข้อผิดพลาดทั่วไปและวิธีหลีกเลี่ยง

หนึ่งในข้อผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดคือการไม่ระบุประเภทของ dB เมื่อสื่อสาร การพูดว่า “เสียงดังมาก 100 dB!” โดยไม่ระบุว่าเป็น dB ประเภทไหนจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ เพราะ 100 dBSPL กับ 100 dBu มีความหมายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

อีกข้อผิดพลาดหนึ่งคือการเปรียบเทียบค่า dB ที่เป็นคนละประเภทกัน เช่น การคิดว่าสัญญาณ +4 dBu ต้องให้เสียง 85 dBSPL เสมอ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วความสัมพันธ์นี้จะขึ้นอยู่กับลำโพงที่ใช้ ระยะทางจากลำโพงถึงจุดวัด และลักษณะอะคูสติกของห้อง

ในระบบดิจิทัล ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยคือการไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง dBFS กับ dBu หรือการตั้งระดับสัญญาณใกล้ 0 dBFS มากเกินไป ส่งผลให้เกิด digital clipping การเข้าใจว่า reference level ของระบบตั้งไว้อย่างไรจะช่วยหลีกเลี่ยงปัญหานี้

สำหรับ LUFS ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยคือการใช้ค่าเฉลี่ยแบบ RMS หรือ peak level แทน LUFS ในการประเมินความดัง ซึ่งอาจทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ไม่สอดคล้องกับการรับรู้ของหูมนุษย์จริง ๆ

การลืมคำนึงถึง headroom ก็เป็นข้อผิดพลาดที่สำคัญเช่นกัน การตั้งระดับสัญญาณให้เต็มที่ 0 dBu ตลอดเวลาจะทำให้ไม่มีที่ว่างสำหรับสัญญาณที่อาจมีระดับสูงขึ้นชั่วคราว ส่งผลให้เกิด distortion ที่ไม่พึงประสงค์

เครื่องมือและเทคนิคการวัด

สำหรับการวัด dBSPL เราจะใช้ SPL Meter ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับวัดความดันเสียงในอากาศ ปัจจุบันมีแอปพลิเคชันในมือถือที่สามารถทำหน้าที่นี้ได้ แต่ควรระวังเรื่องความแม่นยำ สำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง ควรใช้ไมโครโฟนวัดระดับเสียงที่ได้มาตรฐานร่วมกับ Audio interface

ในการวัด dBu และ dBV เราสามารถใช้ VU Meter หรือ Level meter ที่มีอยู่ในมิกเซอร์และ Audio interface หรือใช้ Multimeter ที่สามารถวัดแรงดัน AC ได้ สำหรับการวิเคราะห์ที่ละเอียดมากขึ้น Oscilloscope จะช่วยให้เราเห็นรูปแบบของสัญญาณและวัดค่าต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ

การเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการวัดและระดับความแม่นยำที่ต้องการ ในการทำงานทั่วไป เครื่องมือที่มีอยู่ในมิกเซอร์และ Audio interface มักจะเพียงพอ แต่สำหรับการปรับแต่งระบบเสียงระดับสูงหรือการตรวจสอบความสอดคล้องกับมาตรฐาน อุปกรณ์วัดที่มีความแม่นยำสูงจะเป็นสิ่งจำเป็น

การแปลงค่าและความสัมพันธ์ระหว่างหน่วย

การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างหน่วย dB ต่าง ๆ จะช่วยให้เราสามารถทำงานได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น ความสัมพันธ์พื้นฐานที่ควรจำคือ dBu = dBV + 2.2 และ dBV = dBu – 2.2 นอกจากนี้ การเข้าใจว่าการเพิ่ม 6 dB จะเป็นการเพิ่มแรงดันเป็น 2 เท่า และการเพิ่ม 20 dB จะเป็นการเพิ่มแรงดันเป็น 10 เท่าก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ในการคำนวณอย่างคร่าว ๆ

ค่าสำคัญที่ควรจำในการทำงานประจำวันได้แก่ 0 dBu = 0.775 V = -2.2 dBV, 0 dBV = 1.0 V = +2.2 dBu, และ +4 dBu = 1.23 V = +1.8 dBV เหล่านี้เป็นค่าที่เราจะพบเห็นบ่อยในการทำงานกับระบบเสียง

สำหรับ dBFS ความสัมพันธ์กับหน่วยอื่นขึ้นอยู่กับ reference level ที่ตั้งไว้ ตัวอย่างเช่น หากระบบกำหนดให้ -18 dBFS = +4 dBu แล้วการแปลงก็จะเป็น: dBu = dBFS + 22 (สำหรับระบบนี้เท่านั้น)

LUFS มีความสัมพันธ์กับ dBFS แต่ไม่สามารถแปลงได้โดยตรง เพราะ LUFS คำนึงถึงเนื้อหาและการกระจายความถี่ของสัญญาณ อย่างไรก็ตาม ในเนื้อหาที่มี spectral balance ปกติ ค่า LUFS มักจะต่ำกว่า peak level ประมาณ 6-14 dB

บทสรุป: การใช้ dB อย่างมีประสิทธิภาพ

การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง dBSPL, dBu, dBV, dBFS และ LUFS เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้ Sound Engineer สามารถทำงานได้อย่างมืออาชีพ การรู้ว่าเมื่อไหร่ควรใช้หน่วยไหน การสื่อสารอย่างชัดเจน และการหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่เกิดจากความเข้าใจผิดจะช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ

ในยุคที่ระบบเสียงผสมผสานระหว่างเทคโนโลยี analog และ digital การเข้าใจทั้ง dBu/dBV สำหรับส่วน analog และ dBFS สำหรับส่วน digital เป็นสิ่งจำเป็น ขณะที่ LUFS กลายเป็นมาตรฐานสำคัญในการควบคุมความดังสำหรับการเผยแพร่เนื้อหา

สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้คือ dB เป็นเพียงเครื่องมือในการแสดงความสัมพันธ์ ไม่ใช่ค่าสัมบูรณ์ การระบุประเภทของ dB ให้ชัดเจนจะช่วยหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด และการเข้าใจถึงข้อจำกัดและขอบเขตการใช้งานของแต่ละหน่วยจะช่วยให้เราสามารถเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับสถานการณ์ได้

ในที่สุด การฝึกฝนและประสบการณ์จริงจะช่วยให้การใช้ dB ต่าง ๆ เป็นเรื่องธรรมชาติและคล่องแคล่วมากขึ้น เมื่อเราเข้าใจหลักการและฝึกใช้งานเป็นประจำ การทำงานกับระบบเสียงจะมีประสิทธิภาพและแม่นยำยิ่งขึ้น

ข้อมูลอ้างอิง

  • Bob McCarthy – Sound Systems: Design and Optimization (2nd Ed.) Chapter 6: Level, Gain, and dB Units (p. 148–162)
  • Don Davis, Eugene Patronis – Sound System Engineering (4th Ed.) Chapter 2: Signal Level and Measurement (p. 34–50)
  • HyperPhysics – Georgia State University Section: Sound > Decibel Units

 ใครที่สนใจอยากทำอาชีพด้าน SOUND ENGINEER สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมตามนี้ได้เลย หลักสูตรเรียน SOUND ENGINEER หรือ อ่านบทความเพิ่มเติม เรียน SOUND ENGINEER จะสามารถไปทำงานที่ไหนได้บ้าง ?  

หรือสนใจสอบถามคอร์สเรียนและหลักสูตรต่าง ๆ สามารถสอบถามได้ที่

            โทรศัพท์ 02-550-6340, 064-198-2499

            Line : @liveforsound

            Email : course@liveforsound.com

            บทความโดย: ทรงพล แจ่มแจ้ง (SOUND ENGINEER)

รับติดตั้งระบบเสียง ห้องประชุม ร้านอาหาร ผับบาร์ ห้องคาราโอเกะ ห้องจัดเลี้ยง ระบบเสียงสนามกีฬา ระบบเสียงร้านกาแฟ สามารถปรึกษาทางทีมงาน LIVE FOR SOUND ได้ พร้อมรับตรวจเช็ค แก้ไขปัญหาระบบเสียงทุกรูปแบบ โดยทีมงานมืออาชีพ ที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี