บทความ

สายสัญญาณ Balance และ Unbalance คืออะไร แล้วใช้ยังไง ?

บทความ สายสัญญาณ Balance และ Unbalance คืออะไร แล้วใช้ยังไง

     วันนี้เราจะมาพูดถึง สายสัญญาณ Balance และ Unbalance กันนะครับ ว่ามันคืออะไร ใช้งานยังไง รวมไปถึงส่วนประกอบต่าง ๆ ของสายสัญญาณว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งสายสัญญาณก็เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่สำคัญมากในเรื่องของระบบเสียง ซึ่งก็ไม่ใช่แค่ในงานเสียงหรอกครับ ไม่ว่าจะในงานด้านไหนสายสัญญาณล้วนมีความสำคัญอยู่ตลอดเวลาครับ

     สายสัญญาณเป็นสิ่งใกล้ตัวเรามาก ๆ แต่คงมีหลาย ๆ ท่านที่ให้ความสำคัญกับเจ้าตัวสายสัญญาณนี้เป็นอันดับท้าย ๆ ในเรื่องของระบบเสียง เดี๋ยววันนี้ผมจะมาบอกถึงความสำคัญของสายสัญญาณให้ได้เข้าใจกันนะครับ หลังจากนั้นหลาย ๆ คนอาจจะเปลี่ยนความคิดกันเลยก็ได้ครับ

     สายสัญญาณคือส่วนประกอบของระบบเสียง ไม่ว่าจะเป็นระบบเสียงภายในบ้านหรือที่ส่วนใหญ่เขาเรียกว่า โฮมยูส ไปจนถึงงานกลางแจ้ง หรืองาน PA ก็ต้องมีสายสัญญาณเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ไมโครโฟน เครื่องดนตรี และอื่น ๆ เพื่อต่อสายสัญญาณเข้าไปที่มิกเซอร์ เป็นต้น จำเป็นต้องเชื่อมต่อสัญญาณผ่านสายนำสัญญาณ หลาย ๆ คนคงมีคำถามว่าสายสัญญาณแต่ละแบรนด์ให้คุณภาพเสียงที่แตกต่างกันไหม ต้องขอบอกก่อนว่าสายสัญญาณแต่ละแบรนด์นั้นให้เสียงที่แตกต่างกันจริงแต่น้อยมาก ๆ ครับ จะขึ้นอยู่กับตัวนำภายในสาย วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ บางแบรนด์อาจมีเทคนิคต่าง ๆ ที่ทำให้เสียงดีขึ้น ขั้นตอนการผลิตก็มีส่วนเกี่ยวเหมือนกัน และยังมีตัวแปรอื่น ๆ อีกที่สามารถทำให้เสียงนั้นดีขึ้นได้ อย่างเวลาเราเดินไปเจอร้านขายสายสัญญาณทั่ว ๆ ไปจะเห็นได้ว่ามีสายสัญญาณราคาตั้งแต่หลักสิบไปจนถึงหลักพัน แต่ถ้าเราเดินเข้าร้านสำหรับขายสายสัญญาณโดยเฉพาะเราอาจเจอเส้นที่มีราคาหลักแสนหรืออาจจะถึงหลักล้านก็มีเหมือนกันครับ สำหรับใครที่ชื่นชอบนำสายสัญญาณของแต่ละแบรนด์มาเปรียบเทียบกัน เช่น สายราคา 10,000 บาท แบรนด์นี้กับอีกแบรนด์เสียงที่ได้จะต่างกันมากน้อยแค่ไหน แต่ก็จะเห็นได้ว่าเสียงนั้นมีความแตกต่างกันจริงแต่มันน้อยมาก ๆ เลยครับ ในความเป็นจริงแล้วไม่ว่าจะสายสัญญาณหรือสายลำโพงในเรื่องของระบบเสียงมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าอุปกรณ์อื่น ๆ อย่างแน่นอนครับ ถ้าหลาย ๆ คนเริ่มให้ความสนใจในสายสัญญาณและสายลำโพงกันมากกว่านี้คุณจะชอบระบบเครื่องเสียงไม่ว่าจะเป็นเครื่องเสียงภายในบ้านหรือเครื่องเสียงกลางแจ้งของคุณเองจะเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน เกริ่นมายาวมากแล้วครับเดี๋ยวเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ ว่าสายสัญญาณนั้นมีส่วนประกอบอะไร และหน้าที่ของมันนั้นคืออะไร ไปอ่านกันเลยครับ

โดยเราจะเริ่มจากส่วนที่อยู่ด้านนอกสุดไปยังส่วนที่อยู่ด้านในสุดกันครับ 

สายสัญญาณ มีส่วนประกอบหลักดังนี้

     1. Jacket (แจ๊คเก็ท) เป็นส่วนที่อยู่ด้านนอกสุดของสายสัญญาณ ความหนาและความบางจะต่างกันตามแต่ละแบรนด์ที่แบรนด์นั้นเลือกผลิต มีหน้าที่ป้องกันความเสียหายต่าง ๆ ที่สามารถเกิดขึ้นกับส่วนอื่น ๆ ที่อยู่ภายในสายได้แถมยังช่วยในเรื่องของการรักษารูปทรงส่วนอื่น ๆ ที่อยู่ในสายได้นั่นเองครับ ถ้าพูดแบบสั้น ๆ เข้าใจง่ายก็คือเป็นตัวที่คอยช่วยป้องกันส่วนที่อยู่ภายในเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายนั่นเองครับ

     2. Shield (ชีลด์) ส่วนที่อยู่ถัดมาจาก Jacket เราเรียกว่า Shield ครับ ซึ่งส่วนนี้จะแบ่งออกมาได้อีกเป็น 2 แบบ คือ เส้นลวดฟอยถัก (Braid Shield) จะมีทั้งสีเงินและทองแดง ส่วนอีกแบบ คือ ฟอยสีเงิน (Foil) โดยทั้ง 2 แบบนี้มีหน้าที่หลัก ๆ เหมือนกันคือ การรวมเสียงรบกวนต่าง ๆ มาอยู่ที่ตัวฟอยเอง และสามารถใช้ลดเสียง Noise (เสียงรบกวน) ได้

     3. Insulation (อินซูเลชั่น) คือ ส่วนที่หุ้มตัวนำสัญญาณอีกชั้น โดยมีหน้าที่หลัก ๆ คือการประคองเพื่อรักษารูปทรงและป้องกันตัวนำสัญญาณอีกชั้นหนึ่ง ในส่วนของ Insulation ก็จะมีหลากหลายสี เพื่อบ่งบอกโค้ด โดยจะมีสี ดำ น้ำเงิน แดง น้ำตาล ขาว และสีอื่น ๆ อีกมากมายครับ

     4. Conductor (คอนดักเตอร์) คอนดักเตอร์มีหน้าที่หลัก ๆ คือ เป็นตัวนำสัญญาณทางไฟฟ้า และตัวนำไฟฟ้าก็ยังมีอยู่หลายประเภทด้วยกัน ยกตัวอย่าง เช่น อลูมิเนียม ตะกั่ว เงิน ทองแดง และอื่น ๆ เป็นต้น

     เราพูดถึงส่วนประกอบของสายสัญญาณกันไปแล้วเรามาดูในส่วนของขนาดสายสัญญาณกันต่อเลยดีกว่าครับ

ขนาดของสายสัญญาณ จะมีหน่วยที่เรียกว่า AWG และ SWG

     เรามาเริ่มที่หน่วยแรกกันเลยดีกว่าครับ คือ หน่วย AWG (American Wire Gauge) เป็นหน่วยที่นิยมใช้กันในอเมริกากับแคนาดา และประเทศอื่น ๆ ครับ ส่วนหน่วย SWG (Standard Wire Gauge) นั้นจะมีขนาดใหญ่กว่าหน่วย AWG อยู่ประมาณ 1 เบอร์ ซึ่งไม่ได้มีการใช้กันอย่างแพร่หลายส่วนมากจะนิยมใช้กันใน UK (United Kingdom) นั่นเองครับ

*** ขนาดสายสัญญาณที่เล็กจะมีค่า AWG ที่มาก และ ขนาดสายสัญญาณที่ใหญ่จะมีค่า AWG ที่น้อย ***

สายสัญญาณที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในบ้านเราที่นิยมนำมาใช้งาน จะมีอยู่ 2 ประเภท มีดังนี้

     1. สาย Balance (บาลานซ์) โดยสายประเภท “Balance” จะมีลักษณะ คือ จะมีตัวนำสัญญาณด้วยกันสองเส้น และลวดที่เป็นกราวด์อีกหนึ่งเส้น จะประกอบไปด้วย ตัวที่เป็นขั้วบวก ขั้วลบ และสายกราวด์ นิยมใช้กับงานระบบเสียง PA เนื่องจากสายประเภทนี้สามารถเดินสายระยะไกลได้ และให้สัญญาณที่แรงกว่ามากถึง +4dB

     2.สาย Unbalance (อันบาลานซ์) สายประเภท “Unbalance” จะประกอบไปด้วย สายกราวด์ และสัญญาณบวก สายกราวด์จะพันล้อมรอบสายสัญญาณเพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน สายสัญญาณบวก เป็นสายสัญญาณที่ใช้ส่งสัญญาณจากอุปกรณ์ แต่สายประเภทนี้เหมาะกับการเดินสายในระยะใกล้ ไม่แนะนำให้เดินสายระยะไกล เพราะจะทำให้เกิดการลดทอน การสูญเสียพลังงาน และจะทำให้เกิดเสียงจี่หรือฮัมได้ครับ

สายแบบไหนเหมาะกับงานแบบไหน มาดูกันครับ

     สายสัญญาณแบบ Balance มีข้อได้เปรียบในเรื่องของความยาวได้มากกว่า โดยสามารถใช้ได้ถึง 15-30 เมตร เลยทีเดียว แต่ก็ไม่แปลกที่จะเห็นว่าสาย Balanced นั้นถูกใช้กับการเชื่อมต่อระยะไม่ไกลมาก เช่น การใช้กับไมโครโฟน เชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ เช่นระบบ Processor ต่าง ๆ ในห้องบันทึกเสียงเป็นต้น

     สายสัญญาณแบบ Unbalance นั้น ใช้ได้ดีกับการเชื่อมต่อเครื่องดนตรี เช่น จากกีต้าร์, เบส ไปสู่แอมป์ แต่เนื่องจากมันป้องกันสัญญาณรบกวนได้ไม่ดีนัก จึงควรใช้ที่ความยาว ราว ๆ 4-6 เมตร

     อย่างไรก็ตาม การใช้สายสัญญาณแบบ Balance กับอุปกรณ์ที่ส่งสัญญาณแบบ Unbalance นั้นถือได้ว่าไม่มีประโยชน์ (เช่นการใช้สาย Balance กับ กีต้าร์) เนื่องจากหัวแจ๊คทั้งสองข้างต้องเป็นหัวแบบเดียวกัน ถึงจะสามารถกลับเฟสสัญญาณเพื่อลบสัญญาณรบกวนได้ ในทางกลับกัน การใช้สายสัญญาณแบบ Unbalance กับ อุปกรณ์ที่ส่งสัญญาณแบบ Balance นั้น สามารถทำได้ แต่สัญญาณรบกวนต่าง ๆ ก็จะเพิ่มมากขึ้น จึงถือว่าไม่ควรทำเช่นกัน นอกจากนี้ ถ้าคุณจำเป็นต้องใช้งานสายสัญญาณแบบ Unbalanced ในระยะทางไกล ๆ อาจต้องใช้ Direct Box หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า DI Box เข้าช่วย ซึ่งมันจะช่วยแปลงสัญญาณที่เป็น Unbalanced ให้เป็น Balanced นั่นเอง

คอนเน็คเตอร์หรือปลั๊กแจ๊คที่นิยม ใช้กับสายสัญญาณ Balance และ Unbalance มีด้วยกัน 2 แบบหลัก ๆ ดังนี้

     โดยเรามาเริ่มที่หัวแจ๊คนิยมใช้กับสายแบบ Balance มีอยู่ 2 แบบหลัก ๆ คือ

     1. XLR (เอ็กแอลอาร์) จะมีทั้งตัวผู้และตัวเมีย แต่บางคนจะเรียกหัวปลั๊กแบบนี้ว่า แคนนอล (Extra Low Resistance) คือ สัญญาณที่มีความต้านทานที่ค่อนข้างต่ำมาก นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมสายสัญญาณแบบ Balance สามารถเดินสายในระยะไกล ๆ และมีสัญญาณรบกวนต่ำ โดยในปัจจุบันจะมีขาที่เชื่อมต่อกันเป็นมาตรฐานสากล คือ
ขาที่ 1 จะเป็นขา Ground หรือ Shield
ขาที่ 2 จะเป็นขา สัญญาณบวกหรือ Hot Signal
ขาที่ 3 จะเป็นขา สัญญาณลบ หรือ Cool Signal

     2. TRS 6.3 mm. หรือสายโฟนสเตอริโอ (Tip Ring Sleeve) คือ จุดต่อสามจุดของแจ๊คแบบ TRS โดย TIP จะเหมือนขาที่ 2 ของ XLR, Ring จะเหมือนขาที่ 3 ของ XLR และ Sleeve จะเหมือนกับขาที่ 1 ของ XLR
*** หัวสัญญาณนี้คนทั่วไปส่วนใหญ่จะเรียกกันว่าหัว Stereo ***

สายสัญญาณแบบ Balance มีข้อดีคือ สัญญาณบวก และสัญญาณลบ จะถูกแยกออกจากกัน โดยมีสาย Shield เป็น Ground ที่คู่ขนานมาเพื่อป้องกันสัญญาณรบกวนจากภายนอกนั่นเอง ผลที่ตามมาคือสัญญาณที่ได้จะมีความสะอาด แถมเสียงรบกวนหรือ Noise ก็จะลดน้อยลงตามไปด้วยนั่นเองครับ

ต่อมาก็จะเป็นหัวแจ๊คที่นิยมใช้กับสายแบบ Unbalance มีอยู่ 2 แบบหลัก ๆ คือ

     1. TS Phone 6.3 mm หรือ สายโฟนโมโน ในการต่อสัญญาณแบบ Unbalance จะทำการรวมเอาสัญญาณลบ (Cool Signal) มารวมไว้ที่ Ground หรือ Sleeve ทำให้สาย Ground จะต้องทำหน้าที่ป้องกันเสียงรบกวนอย่างเดียวเหมือนกันสัญญาณ Balance ก็ต้องมาทำหน้าที่เป็นตัวนำสัญญาณ ดังนั้นสัญญาณรบกวนจากสาย Ground จึงปะปนมากับสัญญาณลบ จึงทำให้การต่อสายแบบ Unbalance จะมีสัญญาณรบกวนมากกว่าถ้าหากเราต้องเดินสายสัญญาณไกล ๆ 

     2. RCA (อาร์ซีเอ) จะมีขั้วนำสัญญาณทั้งหมด 2 ขั้ว คือ นำสัญญาณขั้วบวก 1 ขั้ว และมีขั้วดิน 1 ขั้ว โดยส่วนมากจะเห็นในรูปแบบสีขาว และสีแดง จะส่งสัญญาณจากข้างซ้าย และข้างขวาในแบบ Stereo (สเตอริโอ) โดยปลั๊ก RCA เป็นแจ๊คที่นิยมพบเห็นได้ทั่วไป และมักจะใช้กันในงานคอนซูมเมอร์โฮมยูส

*** การใช้สายสัญญาณแบบ Unbalance มักจะใช้กับอุปกรณ์ที่ใช้สายไม่ยาวมาก เช่น สายแจ๊คกีต้าร์ สายอุปกรณ์เครื่องเสียงภายในบ้าน และ อื่น ๆ เป็นต้น ***

สรุป :

     หลาย ๆ คนคงเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างสายสัญญาณแบบ Balance และ Unbalance กันแล้วใช่ไหมครับ ทีนี้ขอแค่เพื่อน ๆ เลือกใช้งานสายให้ถูกต้องตามลักษณะงานก็จะไม่เกิดปัญหาขึ้นอย่างแน่นอนครับ แล้วทีนี้คงเห็นแล้วใช่ไหมครับว่าสายสัญญาณนี้สำคัญมากขนาดไหน หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อใครหลาย ๆ คนนะครับ หากท่านกำลังมองหาสินค้าประเภท สายสัญญาณ ยี่ห้อชั้นนำ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ติดต่อเข้ามาสั่งซื้อหรือ ขอรายละเอียดของผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม เรามีทีมงาน Sound Engineer ทีมงานผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์พร้อมให้คำแนะนำครับ

สอบถาม เกี่ยวกับสินค้าและการออกแบบติดตั้ง สามารถสอบถามได้ที่

    โทรศัพท์ 02-550-6340, 064-198-2499

    Line : @liveforsound

    Email : [email protected]

บทความโดย: วิชยุตม์ เตชะเกิดกมล (Content Creator)

ทีมงาน LIVE FOR SOUND เราพร้อมให้คำปรึกษาทุกด้าน พร้อมรับตรวจเช็ค แก้ไขปัญหาระบบเสียงทุกรูปแบบ โดยทีมงานมืออาชีพ ที่มีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี

สอบถามข้อมูลได้ทาง