บทความ

ไฟล์เสียงแบบ WAV และ MP3 คืออะไร แตกต่างกันอย่างไรบ้าง

ไฟล์เสียงแบบ WAV และ MP3 คืออะไร แตกต่างกันอย่างไรบ้าง

      เสียงเพลงอยู่คู่กับมนุษย์เรามาอย่างยาวนาน ทั้งที่ถูกสอดแทรกในเหตุการณ์สำคัญ ๆ ของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการแต่งงาน การทำบุญขึ้นบ้านใหม่ หรือการเลี้ยงฉลองต่าง ๆ ก็ล้วนมีบทเพลงเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมเหล่านั้น การได้ฟังเพลงจะทำให้เราเกิดความเพลิดเพลิน และช่วยผ่อนคลายความเครียดและความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการทำงานหรือการเรียนได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการฟังผ่านเครื่องเล่น CD เครื่องเล่น MP3  Youtube หรือ แอพลิเคชั่นอื่น ๆ ยกตัวอย่าง เช่น Spotify, Tidal, Apple Music หรือแอพพลิเคชั่นอื่น ๆ เป็นต้น  

      ไฟล์เสียงในปัจจุบันเอง ก็มีอยู่หลากหลายรูปแบบ เช่น WMA, AAC, MP4 และ 2 ไฟล์ยอดนิยมที่จะมากล่าวถึงในบทความนี้คือ ไฟล์ MP3 และไฟล์ WAV นั่นเองครับ  โดยไฟล์แต่ละประเภทที่กล่าวมานั้นจะมี Bitrate ที่แตกต่างกันไป (Bitrate คือจำนวน Bite ที่ถูกประมวลผลในหนึ่งหน่วยเวลาในขณะที่บีบอัดเสียงเป็นไฟล์) และจำนวน Bitrate นี้เองที่ทำให้ไฟล์แต่ละชนิดมีคุณภาพที่แตกต่างกัน เพราะยิ่งไฟล์ที่มี Bitrate สูงก็ยิ่งมีคุณภาพเสียงที่ดีขึ้นแต่ก็ต้องแลกมาด้วยขนาดของไฟล์ที่ใหญ่ขึ้นเช่นกัน ไฟล์เสียงสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ก็คือ

Lossless Audio

      หมายถึง ไฟล์เสียงที่ไม่สูญเสียคุณภาพจากการบีบอัด เป็นไฟล์ที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ซึ่งมีจุดเด่นก็คือเป็นไฟล์ที่มีคุณภาพเสียงที่ดีในระดับเดียวกับ CD

Lossy Audio

      หมายถึง ไฟล์เสียงที่มีการสูญเสียข้อมูลบางส่วนจากการถูกบีบอัด ยิ่งถูกบีบอัดจน Bitrate เหลือน้อยลง คุณภาพของเสียงก็จะยิ่งน้อยลง แต่อย่างไรก็ตามไฟล์ชนิดนี้ก็มีจุดเด่นคือ ไฟล์มีขนาดที่เล็ก ง่ายต่อการอัพโหลด และประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูล

ไฟล์เสียง WAV

ไฟล์ WAV คืออะไร

      WAV เป็นไฟล์นามสกุล .wav ที่เกิดจากการพัฒนาของ Microsoft และ IBM เพื่อผลักดันให้เป็นไฟล์เสียงมาตรฐานที่ใช้กับพีซี หรือ Windows เป็นหลัก เป็นไฟล์ในกลุ่มประเภท Lossless Audio หรือไฟล์ประเภทที่ไม่สูญเสียงคุณภาพที่เราคุ้นเคยกันมากที่สุด มีขนาดไฟล์ประมาณ 30-50 MB ต่อเพลง (ความยาว 3-5 นาที) WAV เป็นไฟล์ที่ให้คุณภาพเสียงระดับมืออาชีพ โดยมีคุณภาพเสียงที่ 44.1kHz (มาตรฐานของ CD Audio) และตอบสนองความถี่เสียงสูงสุดได้ถึง 22kHz ซึ่งเป็นช่วงเสียงสูงสุดที่หูมนุษย์สามารถตอบสนองได้ แต่มีข้อเสียก็คือไฟล์ .wav มีขนาดใหญ่จึงสิ้นเปลืองพื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูล ไฟล์ชนิดนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ทำงานด้านเสียง ที่ต้องใช้ไฟล์ที่มีรายละเอียดสูงในการทำงาน หรือผู้ที่ต้องการฟังเพลงที่ให้คุณภาพสูงสุด และไม่มีปัญหาเรื่องพื้นที่ในการเก็บข้อมูล

ไฟล์เสียง MP3

ไฟล์ MP3 คืออะไร

      จัดอยู่ในกลุ่มไฟล์แบบ Lossy Audio คือมีการสูญเสียข้อมูลบางส่วนจากการถูกบีบอัด ไฟล์ MP3 เป็นไฟล์เสียงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน เป็นกระบวนการบีบอัดเสียงให้มีขนาดเล็กลงที่ได้รับการพัฒนาโดย Motion Picture Experts Group (MPEG) เรียกว่า มาตรฐานการบีบอัด MPEG audio (MPEG -1 และ MPEG 2/Audio Layer III) หรือเรียกกันง่าย ๆ ว่า MP3 ที่ทุกคนน่าจะคุ้นเคยกันอยู่แล้ว โดยไฟล์ MP3 ตอบสนองความถี่สูงสุดที่ 18kHz

      ไฟล์ MP3 มีความละเอียด Bitrate อยู่ที่ 128kbps (ค่ามาตรฐานของไฟล์MP3) และมีขนาดเล็กกว่าไฟล์ .wav ประมาณ 10 เท่า ซึ่งนั่นก็หมายความว่า หากเรานำไฟล์ .wav ขนาดไฟล์ประมาณ 50MB ซึ่งเป็นขนาดของเพลงปกติที่มีความยาวประมาณห้านาที มาบีบอัดเป็นไฟล์ MP3 ก็จะเหลือเนื้อที่เพียง 5MB เท่านั้น

      และเนื่องจากการที่ไฟล์ MP3 มีขนาดที่เล็กกว่า .wav ถึงประมาณ 10 เท่า ทำให้สามารถเก็บเพลงได้จำนวนที่มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น แผ่น CD หนึ่งแผ่น สามารถเก็บไฟล์ .wav ได้ประมาณ 15 เพลง หากแปลงเป็นไฟล์ MP3 จะทำให้สามารถเก็บได้เพิ่มขึ้นถึงประมาณ 150 เพลง และคุณสมบัติในการประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บนี้เอง จึงได้มีการนำมาใช้ในเครื่องเล่นเพลงประเภทพกพาและได้รับความนิยมมากกว่าการฟังจาก CD ทั่วไป  และนอกจากนั้นยังเชื่อมโยงไปถึงซอฟต์แวร์เล่นเพลง MP3 ที่ได้รับความนิยมอย่างเช่น Windows Media Player, Winamp และอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งสื่ออินเตอร์เน็ตเอง ก็นิยมแพร่กระจายเพลงในรูปแบบของไฟล์ MP3 อันเนื่องมาจากไฟล์ที่มีขนาดเล็กทำให้อัโหลดได้ง่ายนี่เอง

สรุปความแตกต่างไฟล์ WAV และไฟล์ MP3

1.ขนาดของไฟล์

      โดยไฟล์.wav นั้นจะมีขนาดที่ใหญ่กว่าไฟล์ MP3 ประมาณ 10 เท่า อันเนื่องมาจากการที่ MP3 มีการบีบอัดเพื่อลดขนาดของไฟล์ลงนั่นเอง

2.คุณภาพของไฟล์

      ในด้านของคุณภาพของไฟล์ก็มีความแตกต่างกันมากพอสมควร ซึ่งไฟล์ .wav นั้นไม่ได้ผ่านกระบวนการบีบอัด จึงให้เสียงที่ดีและมีคุณภาพสูง มีการตองสนองความถี่ที่สูงถึง 22KHz ในขณะที่ไฟล์ MP3 ถูกบีบอัดเพื่อให้ไฟล์มีขนาดเล็กลง จึงสูญเสียคุณภาพเสียงส่วนนึงไป จึงสามารถตอบสนองความถี่ได้เพียง 18KHZ  

3.ข้อจำกัดในการใช้งาน

      ไฟล์ MP3 เกิดขึ้นก็เนื่องจากข้อจำกัดของขนาดไฟล์ .wav ที่มีขนาดใหญ่ทำให้มีข้อจำกัดเรื่องความไม่สะดวกในการถ่ายโอนข้อมูล และโดยเฉพาะการจำกัดแบนด์วิดท์ของอินเตอร์เน็ตในยุคแรก ๆ ยิ่งเป็นอุปสรรคของการใช้งาน อัปโหลดหรือดาวน์โหลดไฟล์ .wav ซึ่งปัญหาแบบนี้จะไม่เกิดในไฟล์ขนาดเล็กอย่างไฟล์ MP3 ทีมีขนาดไฟล์เล็กจึงทำให้สามารถอัปโหลดหรือดาวน์โหลดได้สะดวกมากกว่านั่นเอง

4.ลักณะการนำไปใช้งาน

      ไฟล์เสียงทั้งสองประเภทนี้ ถูกนำไปใช้งานในลักษณะงานที่แตกต่างกัน ไฟล์.wav ที่มีความละเอียดและคุณภาพสูงจะนิยมใช้งานในลักษณะของงานตัดต่อ งานสตูดิโอ ที่ต้องการไฟล์ต้นทางที่มีความละเอียดและคุณภาพที่สูงที่สุด รวมไปถึงผู้ที่นิยมฟังเพลงจากไฟล์คุณภาพสูงและไม่มีปัญหาในเรื่องของการจัดเก็บข้องมูล ส่วนไฟล์ MP3 เนื่องจากไฟล์มีขนาดเล็กแม้จะมีคุณภาพเสียงสู้ไฟล์.wav ไม่ได้ แต่ก็ได้รับความนิยมนำไปใช้กับการฟังเพลงจากเครื่องฟังเพลงพกพาที่ต้องการพื้นที่ในการเก็บไฟล์จำนวนมาก ๆ นั้นเอง

สรุป

      ไฟล์เสียงทั้งสองประเภททั้งไฟล์ WAV และไฟล์ MP3 แม้จะมีความแตกต่างกัน แต่ก็ได้รับความนิยมสูงทั้งสองประเภทนั้น เหมาะสมกับการใช้งานที่แตกต่างกันไปตามสถานการณ์ จึงไม่สามารถระบุได้อย่างเจาะจงว่าไฟล์แบบไหนดีที่สุด ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้งานมีจุดประสงค์ในการใช้งานแบบไหนนั่นเองครับ และการที่จะฟังเพลงให้ได้อรรถรส เราจำเป็นต้องมี หูฟัง หรือ ลำโพง ดี ๆ มาใช้ในการฟัง เพื่อความเพลิดเพลินของเราเอง

หรือ สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสินค้าได้ที่

     โทรศัพท์ 02-550-6340, 064-198-2499

      Line : @liveforsound

      Email : [email protected]

บทความโดย: อาทิตย์ พรหมทองมี

สอบถามข้อมูลสินค้าได้ทาง

author-avatar

About อาทิตย์ พรหมทองมี

ผู้ที่หลงไหลในระบบเสียงและชื่นชอบในการศึกษาประวัติศาสตร์เครื่องเสียงแต่ละแบรนด์